กัมพูชามีผู้นำที่เป็นทหารทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นทหารแก่ อีกคนเป็นทหารหนุ่ม โดยเฉพาะคนหนุ่มน่าจะช่ำชองในวิชากลศึกพอสมควร
แม้กลศึกที่พวกนี้ใช้จะ 'อมนุษย์' คือไร้ความเป็นคน แต่ต้องยอมรับว่าทำให้ประเทศที่มี "มนุษยธรรม" อย่างไทยปั่นป่วนอย่าง่ายดาย
'วิชามาร' เหล่านี้ไม่ต้องถ่อไปเรียนถึงเวสต์ปอยต์ เพราะมีให้เห็นในสถานการณ์การรบหลายพื้นที่ ผมสังเกตว่าเหมือนผู้นำกัมพูชาจะใช้สถานการณ์พวกนี้เป็น Playbook ในการก่อกวนไทย
ในช่วงที่ปะทะกันด้วยอาวุธนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ากัมพูชาติดตั้งอาวุธสงครามในเขตที่อยู่อาศัยของพลเรือน ซึ่งเท่ากับเอาประชาชนมาเป็นเกราะป้องกันอาวุธตัวเองไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตี
เดชะบุญที่ประเทศไทยมีใจเป็นธรรมและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่เช่นนั้น 'โล่ห์มนุษย์' กัมพูชากลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว
ผมจะยกตัวอย่างกรณีที่ยังดำเนินอยู่ คือ การที่ฮามาสถูกกล่าวหาว่าใช้โล่มนุษย์ในฉนวนกาซา โดยมีข้อกล่าวหาว่าใช้พลเรือนเป็นเกราะป้องกันตนเองจากการโจมตีของอิสราเอล โดยทำการเก็บอาวุธไว้ในโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ยิงจรวดจากพื้นที่อยู่อาศัย และบอกให้ประชาชนเพิกเฉยต่อคำเตือนของอิสราเอลให้หลบหนี และยังใช้โรงพยาบาลเป็นที่ดำเนินการทางการทหาร เรื่องนี้แม้แต่สหประชาชาติก็กล่าวไว้
แต่อิสราเอลไม่ได้ใจดีเหมือนไทย อิสราเอลอ้างว่าการกระทำของกลุ่มฮามาสทำให้อิสราเอลสังหารพลเรือนโดยถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ (Collateral Damage คือความเสียหายต่อพลเรือนในภาวะสงครามที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเป้าหมายการโจมตี) แม้จะอ้างแบบนี้แต่จากข้อมูลของ +972 Magazine อ้างข้อมูลจากฐานข้อมูลข่าวกรองภายในของอิสราเอลว่า ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 83% ที่เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซาเป็นพลเรือน (+972 Magazine เป็นสื่อิสระฝ่ายซ้ายของอิสราเอลที่วิจารณ์รัฐบาล)
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ Collateral Damage ยังไม่นับข้อกล่าวหาว่าอิสราเอลก็ใช้พลเรือนเป็นโล่ห์มุนษย์เช่นกัน
ผมเกรงว่ากัมพูชานั้นเลียนแบบฮามาสและอิสราเอล แต่รู้ดีว่าไทยไม่ได้ใจแข็งเหมือนอิสราเอล และรู้ว่าไทย "กลัว" กฎหมายระหว่างประเทศ (ในกรณีของอิสราเอลนั้น กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า "แม้ว่าฮามาสจะใช้โล่มนุษย์" อิสราเอลก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ แน่นอนว่าอิสราเอลไม่ได้กระทำตาม)
เพราะรู้ไส้รู้พุงไทย กัมพูชาจึงใช้พลเรือนเป็นโล่ห์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่ทำเหมือนกับว่า "พลเรือนพร้อมใจจะเป็นโล่ห์เอง"
เรายังสามารถสังเกต Playbook ของกัมพูชาในการซุกอาวุธสงครามในพื้นที่ของพลเรือน โดยมีตัวอย่างจากระหว่างสงครามอินเดียกับปากีสถานเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ หรือไม่กี่เดือนก่อนที่กัมพูชาจะลั่นกระสุนสังหารคนไทย
โดยเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียและตัวแทนกองทัพอินเดียอ้างว่าปากีสถานใช้เครื่องบินโดยสารพลเรือนเป็น 'โล่ห์มนุษย์' ในระหว่างการโจมตีด้วยโดรนต่อโครงสร้างพื้นฐานทางทหารของอินเดีย และกล่าวหาว่าปากีสถานอนุญาตให้เที่ยวบินต่างๆ ปฏิบัติการใกล้ชายแดนเพื่อยับยั้งการตอบโต้การป้องกันทางอากาศของอินเดีย
ในทางกลับกัน นายกรัฐมนตรีปากีสถานอ้างว่าอินเดียเริ่มการโจมตีปากีสถานครั้งแรกในเวลานั้นยังมีเที่ยวบินระหว่างประเทศ 57 เที่ยวบินในประเทศซึ่งทำให้การโจมตี "เป็นอันตรายต่อชีวิต" พลเรือน
เราไม่ต้องไปโฟกัสที่การโต้เถียงของทั้งสองประเทศว่าใครใช้ 'โล่ห์มนุษย์' กันก่อน เพราะดูเหมือนจะใช้ด้วยกันทั้งคู่ นี่เป็นตัวอย่างให้กับประเทศสักประเทศที่ต้องการทำสงคราม สามารถดำเนินแนวทางเดียวกันได้
ไทยไมได้ใช้ 'วิชามาร' ทางการทหาร หรือใช้พลเรือนมาเป็นแนวป้องกันเลย ตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่เล็งอาวุธถล่มเป้าหมายพลเรือนของไทยจนเสียชีวิตไปมากมาย ขนาดนี้แล้วไม่เพียงไม่รับผิดชอบ แต่ยังเอาพลเรือนเข้ามายุ่งกับสงครามไม่หยุดหย่อน
ล่าสุด ที่บ้านหนองหญเาแก้วเป็นอีกครั้งหนึ่งที่กัมพูชาใช้ 'โล่ห์มนุษย์' ในระหว่างความขัดแย้งกับไทย
แม้จะเจรจากับฝ่ายไทยหลายรอบ มีแถลงการณ์ 'ทางการ' ออกมาราวกับยินยอมพร้อมใจที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง
แต่แล้วก็ทำตรงกันข้าม โดยหาช่องโหว่จากข้อตกลงระหว่างรัฐกับรัฐ นั่นคือใช้ช่องทางพลเรือนมาเป็นช่องในการโจมตีไทย
นั่นคือ กรณีต่างๆ ที่ฝ่ายกัมพูชาเกณฑ์ผู้คนมาที่ชายแดนมาประจันกับเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยในพื้นที่ที่ไทยครอบครองอยู่ เช่น บ้านหนองจานบ้าง บ้านหนองหญ้าแก้วบ้าง
โดยให้พลเรือนอยู่ข้างหน้า แล้วทหารหลบข้างหลัง!
ปลุกปั่นให้พลเรือนใช้สิ่งของขว้างปาเจ้าหน้าที่ไทย รื้อรั้วรวดหนาม กระทำการอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นการยั่วยุที่ร้ายแรงอาจทำให้พลเรือนได้รับอันตรายหากล้ำเส้นเข้ามา แต่ทหารกัมพูชาก็ไม่ห้ามปราม ราวกับเป็นเจ้าภาพหรือเบื้องหลังในการปลุกปั่น
พอทหารและตำรวจไทยตอบโต้ด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตาตามหลักสากลของการสลายการชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย
รัฐบาลกัมพูชาก็สวมบทเหยื่อ กล่าวโทษไทยว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และพลเรือนกัมพูชาชุมนุมอย่างสงบ "ในดินแดนของพวกเขา"
เรื่องโกหกนี้สอดคล้องกับการให้ทหารคอยซุ่มอยู่หลังพลเรือน เป็นแผนการปลุกปั่นความขัดแย้งของสองประเทศอย่างจงใจ
ที่ชั่วร้ายที่สุดคึอการไม่เห็นค่าของประชาชน โดยผลักดันพวกเขาให้มา "ปฏิบัติการ" ในแนวหน้าแทนทหาร
ไม่เพียงทำให้ชีวิตประชาชนตัวเองอยู่ในความเสี่ยง แต่เป็นการใช้ประชาชนเป็นอาวุธอย่างหนึ่งเพื่อยั่วยุให้ไทยลงมือ แล้วจะนำภาพนั้นไปประโคมต่อชาวโลกว่า "ไทยโหดร้าย"
ผลก็คือสื่อต่างประเทศงับข่าวนี้อย่างว่องไว เพราะรัฐบาลกัมพูชาว่องไวมากในการกระจายข่าวที่เกิดขึ้น แม้แต่คนระดับนายกรัฐมนตรีก็ออกหนังสือแถลงการณ์ไวเหมือนเสกขึ้นมาทันที หรือเหมือนกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีเรื่อง
นี่ก็เป็น 'วิชามาร' อย่างหนึ่ง แต่เป็นวิชามารในแง่สงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกัมพูชา "ทำได้ดีกว่าไทยมาโดยตลอด" เพราะตั้งใจจะทำสงครามอยู่แล้ว (นั่นคือ "สงครามไร้ขัดจำกัด" ที่มักจะเอาพลเรือนมาอยู่ในพื้นที่การรบรูปแบบต่างๆ ซึ่งผมได้อธิบายเรื่องนี้ไว้คลิปรายการพอดแคสต์ซีรีส์ Unrestricted Warfare ตอนที่ 1)
ส่วนไทยแม้จะเรียกว่าสงครามก็ยังไม่กล้า
เป็นอีกครั้งที่ไทยทำงานล่าช้าในการสกัดกั้นการสร้าง Narrative (คำอธิบายเหตุการณ์) ของการปะทะ ทำให้เรามีภาพที่ไม่ดีออกไป นี่ขนาดเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว คนไทยก็ยังพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย
รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดไหนจะต้องมีสมมติฐานเอาไว้ก่อนว่า "กัมพูชาเชื่อใจไม่ได้" ตอนนี้ไม่ใช่เพียงรัฐบาลกัมพูชาที่เชื่อไม่ได้ (เพราะเหมือนวางแผนล่วงหน้าที่จะกระทำการโจมตีไทยในรูปแบบต่างๆ) แต่พลเรือนกัมพูชาก็ไว้ใจไม่ได้
ดังนั้น เมื่อคนกัมพูชามาก่อกวนที่ชายแดน รัฐบาลไทยต้องประกาศในทันทีต่อชาวโลกว่าชาวกัมพูชาล่วงล้ำชายแดน ต้องทำการผลักดันด้วยวิธีสากล และอาจจะต้องจับกุมตัวด้วยซ้ำ
โปรดอย่าลืมว่า กัมพูชาเคยทำแบบนี้กับคนไทยมาแล้วโดยเข้ามาจับคนไทยในพื้นที่พวกนั้นอ้างเป็นของตน นั่นคือกรณีของคุณวีระ สมความคิด
คุณวีระถูกกัมพูชาจับตัว (หรือลักพาตัว) ไปที่อำเภอโคกสูง อันเป็นอำเภอเดียวกับที่ตั้งของบ้านหนองหญ้าแก้วนั่นเอง
เมื่อกัมพูชาเคยปฏิบัติต่อคนไทยแบบนี้มาแล้ว เจ้าห้าที่ไทยควรจะยั้งมือหรือ? เกิดเหตุคราวหน้าก็ควรจะจับ 'โล่ห์มนุษย์' พวกนี้มาให้หมด
ไม่ใช่เพราะละเมิดอธิปไตยไทยเท่านั้น แต่เพราะ 'โล่ห์มนุษย์' จะได้ปลอดภัยจากการถูกรัฐบาลกัมพูชาใช้เป็นเครื่องมือ ซึ่งอันตรายต่อชีวิตพวกเขา ด้วยการมานอนคุกที่ไทยสักพัก
การส่งพวกนี้ไปนอนเรือนจำของไทย จะทำให้พลเรือนกัมพูชาที่เหลืออยู่เกิดความเข็ดหลาบ กลัวจนไม่กล้าถวายชีวิตเป็นโล่ห์มนุษย์ให้รัฐบาลโดยไม่มีหัวคิดอีก
สิ่งที่กัมพูชาว้าวุ่นที่สุดนับตั้งแต่การปะทะด้วยอาวุธก็คือ ต้องการทหารของตนที่ไทยจับกุมตัวไว้คืนมา รัฐบาลกัมพูชาแถลงไม่เว้นแต่ละวันว่าไทยไม่ยอมคืนคนของตน ส่วนสื่อกัมพูชาก็สนองด้วยการย้ำว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไรแล้วที่ทหารของพวกเขาไร้อิสรภาพ
บางทีเพื่อให้กัมพูชาว้าวุ่นข้าไปอีกจนรบกวนไทยไม่ได้ ไทยก็ควรกวาดจับพวกผู้ประท้วงกัมพูชาที่ขโมยรั้ว ทำลายรั้ว รุกล้ำอธิปไตย ทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทย
เอามาใส่คุกไทยสักสิบยี่สิบคน เท่านี้ผมเชื่อว่าคนกัมพูชาขยาดชายแดนไทยกันไปเอง
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพถ่ายนี้ถ่ายและเผยแพร่โดยสำนักข่าว Agence Kampuchea Press (AKP) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 แสดงให้เห็นชาวกัมพูชาเผชิญหน้ากับตำรวจและทหารไทยในพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย (ภาพโดย Handout / Agence Kampuchea Press(AKP) / AFP)