มีเรื่องหนึ่งซึ่งคนไทยมองข้ามทั้งๆ ที่มันสำคัญต่ออนาคตของบ้านเมืองของเราอย่างมาก แต่เพราะผลกระทบของมันยังไม่ชัดเจน เรื่องใหญ่ขนาดนี้จึงถูกมองข้ามไป
นั่นคือ "สงคราม AI" ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
สงครามนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชิปที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นและการสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยไปเรื่อยๆ
มันไม่ใช่แค่การ "แข่งขัน" แต่มันจะเป็นเป็นตัวกำหนด "มหาอำนาจโลก" กันเลยทีเดียว หรืออย่างน้อยมันจะบอกเราว่าโลกของเราจะมี "ภูมิทัศน์การเมือง" แบบมหาอำนาจขั้วเดี่ยวหรือมหาอำนาจสองขั้ว
แนวคิดเรื่องสงคราม AI กับภูมิรัฐศาสตร์เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่อนาคตของไทยก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะสหรัฐฯ ร่างกฎหมายจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังไทย โดยเฉพาพชิปจาก Nvidia Corp เพื่อป้องกันไม่ให้ชิปเหล่านี้ถูกส่งไปจีน
นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ก็จริง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของ "อภิมหายุทธศาสตร์" (Grand strategy) ของสหรัฐฯ ในการโค่นจีนโดยที่ประเทศที่เป็นมิตรกับจีนจะต้องถูกกำจัดก่อน เพราะยักษ์สองยักษ์จะหลีกเลี่ยงการปะทะกันโดยตรง
ยิ่งในตอนนี้ "กุนซือ" ของสงคราม AI ในสหรัฐฯ บางคนเชื่อว่า AI คือแนวรบเดียวที่สหรัฐฯ ยังเหนือกว่าจีน
คำว่า "ยัง" มีนัยว่าในอนาคต "ไม่แน่าว่าจะไม่เหนือกว่า"
โปรดฟังทัศนะล่าสุดของ ดาริโอ อาโมเดอี (Dario Amodei) ซีอีโอของ Anthropic บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของอเมริกา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาประกาศว่าการครองตลาดชิปของสหรัฐฯ อาจเป็น "ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียว" เหนือจีนในปัจจุบัน และข้อได้เปรียบนี้ควรได้รับการ "ปกป้อง"
อาโมเดอี กล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน ในการประชุมสุดยอดด้านปัญญาประดิษฐ์ AI+ DC Summit ซึ่งจัดโดยเว็บไซต์ข่าวของสหรัฐฯ Axios โดยเขาชี้ว่า “การขายชิปเหล่านี้ให้จีนก็เท่ากับการเดิมพันกับอนาคตของประเทศเรา”
อาโมเดอี ชี้ว่า “ไม่ว่าเทคโนโลยี (AI) นี้จะอันตรายแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องมีมาตรการป้องกันใดๆ ผมเชื่อว่าการเอาชนะจีนด้วยเทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้อาจควบคุมชะตากรรมของประเทศชาติ และสามารถควบคุมอนาคตของ ‘เสรีภาพและประชาธิปไตย’ ได้”
สำหรับนายทุน AI คนนี้ การศึกระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่ใช่แค่การแย่งชิงความเป็นหนึ่งด้านตลาด แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ‘เสรีภาพและประชาธิปไตย’ เพราะเขาเห็นว่าหากสหรัฐฯ แพ้ในสงครามนี้ความเป็น 'มหาอำนาจเด็ดขาด' (Hegemony) ของสหรัฐฯ จะจบสิ้นลง
และหากสหรัฐฯ พ่ายแพ้ให้กับจีน (หรือเสียพื้นที่นี้ให้จีนไป) 'โลกเสรี' ก็จะถึงกาลอวสานด้วย
บางคนฟังแล้วอาจรู้สึกว่านี่เป็น 'วาทกรรม' แบบสงครามเย็นไปหน่อย แต่โปรดระลึกไว้ว่าตอนนี้โลกของเรากำลังอยู่ในช่วง 'สงครามเย็นครั้งที่ 2' ที่อาจกลายสภาพเป็น 'สงครามร้อน' ได้ทุกเมื่อ
อาโมเดอี อาจจะเป็นพวก Hegemonist (ประเทศข้าใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว) และ American exceptionalist (อเมริกาเท่านั้นที่เป็นเลิศ) ก็จริง แต่เพราะเขาเป็นผู้ช่ำชองในตลาดนี้ (หรือแนวรบ) นี้ เขาย่อมมองเห็นถึงแนวโน้มชัยชนะและความพ่ายแพ้ได้ชัดกว่าเรา
อาโมเดอี เคยเขียนบทความเรื่อง "เกี่ยวกับ DeepSeek และการควบคุมการส่งออก" เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ โดยเขากล่าวว่า การเปิดตัว DeepSeek ของจีนได้ทำให้นโยบายควบคุมการส่งออกมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดยิ่งกว่าเดิม
เขายังกล่าวว่า "การควบคุมการส่งออกมีจุดประสงค์สำคัญ นั่นคือการทำให้ประเทศประชาธิปไตยอยู่แถวหน้าในการพัฒนา AI พูดให้ชัดเจนก็คือ การควบคุมการส่งออกไม่ใช่วิธีที่จะหลบเลี่ยงการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ท้ายที่สุดแล้ว บริษัท AI ในสหรัฐอเมริกาและประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ต้องมีโมเดลที่ดีกว่าในจีน หากเราต้องการชัยชนะ แต่เราไม่ควรมอบข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งที่เราไม่จำเป็นต้องทำ"
แนวคิดนี้สะท้อนถึงอุดมการณ์แบบสงครามเย็นชัดเจน นั่นคือ 'โลกเสรี' และ 'โลกคอมมิวนิสต์' จะต้องต่างฝ่ายต่างแข่งขันกัน เหมือนในยุคสงครามเย็นที่มี "การแข่งขันด้านอวกาศ" ซึ่งทำให้โลกก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า มันหมิ่นเหม่ที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าอยู่บ้าง แต่พลังของ "ความกระหายสงคราม" ถูกเบี่ยงเบนให้มาอยู่ที่การแข่งขันทางเทคโนโลยี
แน่นอนว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยีนำไปสู่การพัฒนาอาวุธสงครามที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้นเช่นกัน และ "การแข่งขันด้าน AI" หรือสงคราม AI ก็จะทำให้เกิดแนวโน้มนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หากพิจารณาดีๆ อาโมเดอี ไม่ได้สนับสนุนการเผชิญหน้าโดยตรง เพียงแค่ตัดช่องทาง "การแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยี" เพื่อทำให้สหรัฐฯ และจีนเข้าสู่สงครามเย็นด้าน AI อย่างเต็มตัว
และสิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การห้ามการส่งออกชิปไปยังจีน แน่นอนว่าพร้อมๆ กันนั้นสหรัฐฯ จะต้องห้ามการส่งออกเสียก่อน แต่ที่สำคัญพอๆ กันคือต้องจับตา "การลักลอบ" นำชิปเข้าไปยังจีน (นี่คือเหตุผลที่สหรัฐฯ จ้องจะเล่นงานไทยและมาเลเซีย) อาโมเดอี เสนอเอาไว้ว่า
"ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกว่าดูเหมือนว่าชิป AI จำนวนมากของ DeepSeek ประกอบด้วยชิปที่ยังไม่ได้ถูกแบน (แต่ควรจะถูกแบน) ชิปที่ถูกส่งไปก่อนจะถูกแบน และชิปบางส่วนที่ดูเหมือนจะถูกลักลอบนำเข้า นี่แสดงให้เห็นว่าการควบคุมการส่งออกกำลังได้ผลและปรับตัวได้จริง: ช่องโหว่ต่างๆ กำลังถูกปิดลง มิฉะนั้น พวกเขาก็น่าจะมีชิป H100 ระดับท็อปเต็มกอง หากเราสามารถปิดช่องโหว่เหล่านี้ได้เร็วพอ เราอาจสามารถป้องกันไม่ให้จีนได้รับชิปหลายล้านชิ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเกิดโลกขั้วเดียวโดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ"
แม้การปิดช่องโหว่หมายถึงการแบนไทย แต่เรื่องนี้จะบีบให้ไทยจะต้องเลือกฝ่ายในที่สุด เช่นเดียวกับยุค 'สงครามเย็นครั้งที่ 1' ซึ่งไทยเป็นฝ่าย 'โลกเสรี'
ทว่า เมื่อหันกลับไปมองในยุคนั้น เราตอบได้หรือไม่ว่าแม้ไทยจะเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ และโลกเสรี เราได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรมาบ้างหรือไม่?
เช่นกัน ใน 'สงครามเย็นครั้งที่ 2' ไม่เพียงสหรัฐฯ จะไม่เห็นว่าเราอยู่ในฝ่ายโลกเสรีอีกต่อไป ยังแสดงท่าทีชัดเจนว่าเราจะ "แอบเอื้อประโยชน์ให้กับจีน"
เมื่อพันธมิตรเดิมไม่เชื่อไว้ใจกันอีก ดังนั้นแล้ว หากเราจะต้องเลือกข้างในสงคราม AI เราควรจะเลือกใคร?
นี่ไม่ใช่คำถามที่จะตอบง่ายๆ เพราะการเลือกข้างจะนำมาสู่หายนะทางเศรษฐกิจ เพราะนี่คือสงครามย่อยของสงครามภาษี-การค้า
แต่เราควรทำเช่นไร หากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายปิดกั้นไม่ให้ไทยเข้าถึงชิปที่ล้ำสมัย เพราะระแวงว่าไทยจะส่งมันต่อไยังจีน? นี่ไม่ใช่การประเคน 'ฝ่าย' ให้กับไทยไปแล้วหรือ?
แม้ว่าไทยจะถูกแบนจากสหรัฐฯ แต่การจะเป็น 'พันธมิตร AI' กับจีนจะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่? เพราะแน่นอนว่าหากไทยไม่อยากจะตกขบวนการพัฒนา ก็จะต้องมีเสาหลักให้คอยยึดเหนี่ยวด้วย
อาโมเดอี ตั้งคำถามว่า "คำถามคือจีนจะสามารถครอบครองชิปได้หลายล้านชิ้นหรือไม่?"
แต่เขาทำได้เพียงตั้งสมมติฐานว่า "หากทำได้ เราจะอยู่ในโลกสองขั้ว ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนมีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทรงพลัง ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมเรียกว่า "ประเทศอัจฉริยะในศูนย์ข้อมูล" โลกสองขั้วไม่จำเป็นต้องสมดุลกันอย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าสหรัฐฯ และจีนจะมีระบบ AI ที่เท่าเทียมกัน แต่ดูเหมือนว่าจีนจะสามารถจัดสรรบุคลากร เงินทุน และการมุ่งเน้นไปที่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในทางทหารได้มากขึ้น เมื่อรวมกับฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ทางทหารแล้ว สิ่งนี้อาจช่วยให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่โดดเด่นบนเวทีโลก ไม่ใช่แค่ในด้าน AI แต่ในทุกเรื่อง"
นี่คืออนาคตของนายทุน AI ชั้นนำของโลกมองเห็น เขาเห็นว่าหากจีนเข้าถึงชิปได้อย่างไร้ขีดจำจัด มันจะไม่ใช่แค่จะเกิด 'มหาอำนาจสองขั้ว' เท่านั้น แต่จีนจะมีศักยภาพที่เหนือกว่า 'โลกเสรี'
และถึงแม้ว่า "หากจีนไม่สามารถครอบครองชิปได้หลายล้านชิ้น เราจะ (อย่างน้อยก็ชั่วคราว) อยู่ในโลกขั้วเดียว ซึ่งมีเพียงสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเท่านั้นที่มีแบบจำลองเหล่านี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโลกขั้วเดียวนี้จะคงอยู่ต่อไปหรือไม่" (แต่ อาโมเดอี หวังว่ามันจะยั่งยืนเพราะยิ่ง AI พัฒนา มันจะพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว ทำให้ "สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอาจก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่มีอำนาจและยั่งยืนบนเวทีโลก" กระนั้นก็ตาม นี่เป็นความคาดหวังล้วนๆ)
ในขณะที่สหรัฐฯ "หวงเทคโนโลยี" แต่จากท่าทีของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง กลับตรงกันข้าม คือ ประกาศในที่ประชุมองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ว่าพร้อมที่จะพัฒนาไปพร้อมๆ กันกับนานาประเทศในสถานะที่เท่าเทียมกัน เพื่อร่วมสร้าง "ระเบียบโลก"
เราจะเห็นพัฒนาการล่าสุดจาก China-ASEAN Expo ที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง อันเป็นประตูของจีนที่เปิดเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในงานนี้ที่หนานหนิง เมืองเอกของกว่างซีมีการแลกเปลี่ยนด้าน AI ระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนจีนกับประเทศอาเซียนในหลายแง่มุม
ที่หนานหนิงนี่เองยังมี "การประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีด้านปัญญาประดิษฐ์จีน-อาเซียน" โดย "มีเป้าหมายเพื่อสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเจรจาระดับรัฐมนตรีระหว่างจีนและอาเซียนและการแลกเปลี่ยนด้านปัญญาประดิษฐ์" นอกจากนี้ "การประชุมได้ประกาศเปิดตัวการก่อสร้างศูนย์ความร่วมมือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์จีน-อาเซียน ซึ่งจะดำเนินการความร่วมมือเฉพาะด้านต่างๆ เช่น การเสริมสร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ การจัดหาโอเพนซอร์สและบริการแบบเปิด การเสริมสร้างความร่วมมือและการเชื่อมต่อทางอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการปลูกฝังบุคลากรที่มีความสามารถ ส่งเสริมการดำเนินโครงการความร่วมมือในทางปฏิบัติ และร่วมกันส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในระดับสากล" (จากการรายงานของ 人民日报 เมื่อวันที่ 21 กันยายน)
นี่คืออนาคตที่จีนกำลังสร้างร่วมกันกับ 'พันธมิตร AI' ในอาเซียน ส่วนพันธมิตรโลกเสรีนั้นไม่เพียงไม่แบ่งปันอะไรให้ ยังข่มขู่ ปิดกั้น และไม่เห็นคุณค่าของพันธมิตรด้วยกัน
ดังนั้น หากไทยพร้อมที่จะร่วม "เดินคล้องแขนไปกับจีน" ผมเชื่อว่าก็น่าจะพึ่งพาจีนในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีได้
แต่ต้องย้ำว่า ต้องให้มั่นใจก่อนว่า สงคราม AI ครั้งนี้ 'โลกเสรี' เขาไม่อยากได้เราเป็นพันธมิตรด้วยแล้ว
โปรดรอดูอีก 3 ปี จีนจะสามารถพึ่งพาตัวเองในด้านชิป AI ได้ แค่ในตอนนี้การดิ้นรนของ Nvidia ที่จะขายในจีนและปัญหาต่างๆ ที่บริษัทนี้ประสบในตลาดจีน ก็แสดงให้เห็นว่าจีนไมได้ต้องการชิปจากภายนอกขนาดนั้น และมีโอกาสสูงที่ความต้องการชิปของจีนจะมาถึงจุดเพียงพอแล้ว นี่เป็นการวิเคราะห์ของชาวจีนที่คร่ำหวอดในวงการ
นั่นหมายความว่าความกังวลของ อาโมเดอี ว่าจีนจะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียการนำในโลก AI กำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว และหลังจากนี้จะเกิดสงคราม AI ที่คล้ายสงครามเย็น (สงครามทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดย AI)
โดยมีมหาอำนาจแบ่งออกเป็นสองขั้ว พร้อมกับการสลายและการฟอร์มพันธมิตรที่เข้มข้นขึ้น
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ดาริโอ อาโมเดอี ซีอีโอของ Anthropic ชี้นิ้วขณะกล่าวปราศรัยต่อผู้ฟังในหัวข้อ AI ระหว่างการประชุมประจำปีของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ที่เมืองดาวอส เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 (ภาพโดย FABRICE COFFRINI / AFP)