ประเทศไทยเป็นประเทศที่ชอบ "ถอดบทเรียน" และ "ทำเคมเปญเอาหน้า" โดยไม่ได้ลงมือทำจริงๆ จัง
การถอดบทเรียนไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ถ้าถอดอย่างเดียวแล้วไม่ทำมันจะมีประโยชน์อะไร
อีกเรื่องก็คือ โครงสร้างการเมืองของไทยเป็นตัวขัดขวางความเจริญโดยแท้ ทำให้การลงมือปฏิบัติเป็นได้ยาก ถึงไม่ยากก็ช้า ถึงไม่ช้าก็อาจหยุดกลางคัน ทั้งนี้ เพราะมีการทับซ้อนของการกระจายอำนาจ และผู้มีอำนาจไม่มีความสามารถเฉพาะ (เช่น ไม่เก่งเรื่องผังเมือง ด้านวิศกรรมโยธา และวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ ที่จะใช้บริหารเมืองยุคใหม่)
และถึงไม่มีความรู้เฉพาะทางก็ยังไม่ถ่อมตัวเองว่าตัวเองไม่รู้ จึงไม่รู้จักใช้งานผู้มีทักษะวิชาการที่จะช่วยแก้ปัญหาในเขตที่ตนบริหาร (ถารถ่อมตัวและขอคนเก่งมาช่วยงานนั้นเป็นคุณสมบัติของผู้บริหารที่ดี ไม่ต้องย้อนไปดูถึงกรณีเล่าปี่ดั้นด้นไปเชิญขงเบ้งก็ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นทักษะการบริหารทรัพยากรบุคคลของผู้นำชั้นเลิศมาทุกยุคสมัย)
ในจีนนั้น มีแนวโน้มที่ผู้บริหารชั้นหัวกะทิของพรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นพวกที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์ หรือพวก STEM เป็นอย่างน้อย ดังนั้น การบริหารเมือง "อย่างเป็นวิทยาศาสตร์" จึงบรรลุเป้าหมายได้ง่าย
ยังไม่นับว่า คนเก่งๆ พวกนี้ไม่ใช่ว่ามีดีกรีมาแล้วจะเป็นเทวดาไปซะหมด แต่ต้องผ่านการทำงานในระดับต่างๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเองเป็นขั้นๆ ไป ตามรบบ Meritocracy ดังนั้น การบริหารเมืองและเศรษฐกิจของเมืองจึงมีประสิทธิภาพ
ผมพูดมาเยอะแยะแบบนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าจะบอกว่า การเมืองของไทยไม่มีประสิทธิภาพ เพราะ "พูดมากกว่าทำ"
ผมจะยกตัวอย่างกรณีล่าสุด คือ น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่และภาคใต้ตอนล่าง กับเหตุเพลิงไหม้อาคารชุดที่เขตไท่ผู่ของฮ่องกง
รัฐบาลไทยมีปฏิกิริยาที่ช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน ยังไม่นับความอีเหละเขละขละของระบบการสั่งการที่มั่วไปหมดเนื่องจากการปกรองระดับต่างๆ มีอำนาจทับซ้อนกันหรือไม่ก็งงตัวเองว่าตนมีอำนาจอะไรบ้าง ผลก็คือ หาดใหญ่เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้กลายเป็น "ทะเลน้อย" แห่งใหม่ในที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลา
แม้กระทั่งจนถึงเวลาที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ การบริหารจัดการภัยพิบัติก็ยังเป็นภัยพิบัติในตัวมันเอง เพราะโกลาหลไปหมดจนกระทั่งกลายเป็นภาระของปฏิบัติการช่วยเหลือ (ซึ่งทำกันเองด้วยภาคประชาสังคม) ด้วยซ้ำ
นี่สะท้อนถึงโครงสร้างการบริหารที่อลหม่านและการสั่งการที่ไม่ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ผมได้วิจารณ์การบริหารส่วนท้องถิ่นไปแล้วที่มีส่วนรับผิดชอบชั้นแรกของวิกฤตน้ำท่วมที่หาดใหญ่ แต่ส่วนกลางก็มีความรับผิดชอบในลำดับต่อมาเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ขยับได้เร็วนักในแง่การสั่งการการปฏิบัติการ แต่ส่วนกลางก็ยังสามารถ "ให้กำลังใจ" ส่วนท้องถิ่นได้ในพลัน
"กำลังใจ" ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่ามอบคำปลอบประโลมแล้วนั่งเฉยๆ ที่กรุงเทพฯ แต่เป็นถ้อยคำที่รับประกันว่า หากเหลือบ่ากว่าแรง รัฐบาลกลางจะกระโจนเข้าไปช่วยแน่นอน
ผมจะยกตัวอย่างกรณีไฟไหม้ที่ฮ่องกง แม้จะเป็นหน้าที่ของส่วนบริหารฮ่องกงต้องรับผิดชอบ (เช่นเดียวกับส่วนท้องถิ่นหาดใหญ่ต้องรับผิดชอบตัวเองในขั้นต้น) แต่ สีจิ้นผิง ในฐานะประธานาธิบดีจีนได้แสดงท่าทีอย่างฉับไว โดยแถลงการณ์ของห้สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า "สีจิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง โดยได้สอบถามเกี่ยวกับความพยายามในการดับเพลิงและจำนวนผู้บาดเจ็บทันที"
รัฐบาลท้องถิ่นของฮ่องกงมีหน้าที่โดยตรงที่จะปกป้องประชาชนของตนเองก่อน เว้นว่าไม่สามารถแบกรับได้แล้วจึงค่อยร้องขอไปยังปักกิ่ง ในกรณีนี้ไม่ใช่วิกฤตในวงกงว้าง แต่กระนั้นก็กระทบต่อชีวิตและขวัญกำลังใจประชาชน (เพราะประชาชนฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่อาศัยในอาคารสูงเป็นจำนวนมาก) สีจิ้นผิง ในฐานะ "ศูนย์รวมการปกครองของชาติ" จึงต้องแสดงท่าทีอย่างรวดเร็วด้วยการเอาใจใส่ก่อน จากนั้นจึงค่อยชี้นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับขึ้นไป
ดังนั้น หลังจากแสดงความห่วงใยหรือให้กำลังใจแล้ว สีจิ้นผิง "ยังขอให้สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และสำนักงานประสานงานของรัฐบาลประชาชนส่วนกลางประจำฮ่องกง สนับสนุนรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงในการพยายามทุกวิถีทางเพื่อดับไฟ ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อค้นหาและกู้ภัย รักษาผู้บาดเจ็บ และบรรเทาทุกข์หลังเกิดภัยพิบัติ รวมถึงให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บและการสูญเสียจากเหตุเพลิงไหม้ให้เหลือน้อยที่สุด"
การแสดงท่าทีของ สีจิ้นผิง ไม่ใช่การออกคำสั่งว่าท้องถิ่นฮ่องกงควรทำอย่างไร แต่เป็นไปในลักษณะ "เสียงจากข้างบน" เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานส่วนภูมิภาค (ตัวแทนของส่วนกลาง) ตอบสนองโดยเร็วด้วยการสนับสนุนส่วนท้องถิ่นอย่างกระตือรือร้นและรับประกันว่าส่วนกลางไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ร้อนใจเป็นที่สุด
หลังจากที่ สีจิ้นผิง หรือ"ข้างบน" ให้กำลังใจและแนวทางกับส่วนภูมิภาค (ตัวแทนของส่วนกลางแล้ว) ลำดับต่อมา ส่วนภูมิภาคจะต้องแสดงบทบาทให้ชัดเจนว่า "รับงานจากข้างบนแล้ว" และพร้อมจะสานต่อไปยังส่วนท้องถิ่นต่อไป ดังนั้น สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงประกาศว่า "ได้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของคำสั่งสำคัญของเลขาธิการ สีจิ้นผิง อย่างแน่วแน่ ติดตามสถานการณ์การกู้ภัยและดับเพลิงอย่างใกล้ชิด รักษาการสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และประสานงานกับหน่วยงานและท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น โดยสนับสนุนรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงอย่างเต็มที่ในการตอบสนองและจัดการกับอุบัติเหตุเพลิงไหม้"
หน้าที่ของส่วนข้างบนแบบนี้ คือการ "ให้แนวทางสำหรับการปฏิบัติงาน" และ "การสนับสนุนด้านจิตใจ" จากนั้นส่วนภูมิภาคก็รับสนองแนวทางไปออกกฎระเบียบโดยเร็วๆ และรีบปฏิบัติงานตามแนวที่กำหนดไว้ นั่นคือ สนับสนุนการทำงานของส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
แน่นอนว่า ฮ่องกงมีรัฐบาลท้องถิ่นและกฎหมายของตนเอง แต่บางครั้งก็ต้องอาศัย "เสียงจากข้างบน" เพื่อชี้นำเหมือนกันในวันที่ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด และเมื่อมีคนกลางคือส่วนภูมิภาค (ในที่นี้คือ สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน) การทำงานจึงประสานกันราบรื่นราวกับ "ภูษิตฟ้าไร้ตะเข็บ"
หลังจากเกิดไฟไหม้ได้เพียง 3 วัน จีนจึงไม่ได้ทำอย่างไทยที่มีการ "ถอดบทเรียน" กันเต็มอินเทอร์เน็ตไปหมด แต่รัฐบาลจีนได้เริ่มแคมเปญต่อต้านอันตรายจากอัคคีภัยในอาคารสูง "ทันที!"
โดยสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐบางจีน รายงานเมื่อวันเสาร์ว่า คณะกรรมการความปลอดภัยในการทำงานของสภาแห่งรัฐจีน ออกประกาศเกี่ยวกับการเปิดตัวแคมเปญตรวจสอบและแก้ไข "เมื่อเร็วๆ นี้" โดยมุ่งเป้าไปที่ความเสี่ยงและอันตรายจากอัคคีภัยที่สำคัญในอาคารสูง
CCTV ระบุว่า ในระหว่างการรณรงค์ อาคารสูงจะถูกตรวจสอบการใช้วัสดุไวไฟหรือวัสดุติดไฟ นอกจากนี้ จะมีการตรวจสอบการใช้วัสดุต่างๆ เช่น นั่งร้านไม้ไผ่ หรือตาข่ายนิรภัยแบบไม่หน่วงไฟ
“ทุกภูมิภาคต้อง... เสริมสร้างความรับผิดชอบ ประสานงานการพัฒนาและความปลอดภัย และให้การสืบสวนและการแก้ไขความเสี่ยงจากอัคคีภัยที่สำคัญในอาคารสูงเป็นภารกิจสำคัญ” สำนักข่าว CCTV กล่าวและย้ำว่า “ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแลและตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม” (จากรายงานของ AFP)
เว็บไซต์กระทรวงการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินยังระบุว่า "ประกาศดังกล่าวกำหนดให้ทุกภูมิภาคต้องจัดองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตรวจสอบตนเองอย่างครอบคลุม โดยเน้นที่งานสำคัญ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบแบบสุ่มพร้อมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้การตรวจสอบกลายเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น"
คีย์เวิร์ดสำคัญก็คือไม่ให้ "เป็นเพียงพิธีการ" หรือ "ทำแบบขอไปที" (走过场) เท่านั้น ซึ่งผมสังเกตว่าคำๆ นี้เป็นคำที่จีนใช้บ่อยในระยะหลังเพื่อป้องกันการทำงานแบบเอาหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดความวิบัติตามมาได้
เรื่อง "ลัทธิทำแบบขอไปที" (走过场) ในหน่วยงานภาคต่างๆ ของจีนนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจควรจะแบ่งออกเป็นอีกตอนหนึ่ง ซึ่งผมควรนำเสนอในบทความต่อๆ ไป
นี่คือ "เสียงจากข้างบน" ในลำดับที่สองหลังจาก สีจิ้นผิง ได้กำชับแล้วในลำดับแรก โปรดสังเกตว่าจีนไม่เสียเวลากับการถอดบทเรียน แต่ออกคำสั่งเป็นแนวทางในทันที จากนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลท้องถิ่นต่างๆ จากสนองนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ท้องถิ่นต้องทำตามแนวทางนี้แล้ว
ถ้าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำเฉยเมยแล้วเกิดเหตุซ้ำซากขึ้นมาอีก โอกาสที่จะหลุดจากตำแหน่งก็มีอยู่พอสมควรตามแต่โทษานุโทษ
ส่วนเมืองไทยเรานั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่รับผิดชอบก็จะโดนเด้ง โดนย้าย หรือถ้าเลือกตั้งเข้ามาก็จะทนอยู่กันจนหมดวาระ น้อยคนที่จะลาออกแสดงความรับผิดชอบ
แต่ไปทำเด็ดขาดแบบจีนไม่ได้หรอกครับ เพราะจีนเป็นระบบพรรคเดียว หากไม่ทำตามคำสั่ง "ข้างบน" ก็ฟันเปรี้ยงลงมาไม่ยาก ส่วนไทยนั้นก็อย่างที่ผมบอกคือ ข้างบนก็ยังมีเหนือกว่าข้างบนซ้อนกันอีก ส่วนข้างล่างก็ยังทับซ้อนกันเป็นทอดๆ โดยทำงานเหมือนเป็นคนละก๊กคนละเหล่า
เป็นประเทศที่สับสนอลหม่านในตัวเองอย่างไร้ความหวังจริงๆ
ผมยกตัวอย่างการบริหารงานปกครองของกรณีไฟไหม้ฮ่องกง ไม่ใช่ว่าต้องการจะให้ไทยเป็นแบบ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เช่นกัน ในบทความที่แล้วเรื่องส่วนท้องถิ่นกับกรณีหาดใหญ่ ผมยกตัวอย่างการปกครองส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นที่มีการกระสานงานอย่างมืออาชีพของระดับการปกครองส่วนต่างๆ นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมอยากท้องถิ่นไทยเหมือนญี่ปุ่น
ที่ยกตัวอย่างทั้งหมดมานี้ ก็เพื่อให้คนไทยเลือกส่วนที่ดีของประเทศนั้นๆ ไปพิจารณา เช่น เราควรจะเลือกพรรคการเมืองเดียวกันที่บริหารทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นแบบจีนหรือไม่? เพื่อการประสานงานแบบไร้รอยต่อ หรือว่าเราควรเลือกผู้บริหารที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแบบญี่ปุ่นหรือไม่เพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่น
เมื่อเราเห็นตัวอย่าง (ด้านดี) จากที่ต่างๆ ก็จะสามารถตกผลึก "การสร้างการปกครอง" ในแบบของเราเองได้
"การปกครอง" ไม่ได้แปลว่า "ข้างบน" ควบคุม "ข้างล่าง" แต่หมายถึงการบำบัดทุกข์ (เช่น ไฟไหม้และน้ำท่วม) และบำรุงสุข (ฟื้นฟูชีวิตหลังภัยพิบัติให้กลับมาดีดังเดิม)
ในเวลาที่ประชาชนคนไทยช่วยเหลือกันเองมากว่าภาครัฐช่วยเหลือ ผมจึงอยากให้คนไทยหันมาช่วยกันเองอีกครั้งด้วยการมองหาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในการสร้างระบอบการปกครองที่เหมาะสมต่อชีวิตของพวกเราที่สุดด้วย
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเตรียมพร้อมหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ลุกลามไปทั่วอาคารอพาร์ตเมนต์หลายหลังที่โครงการที่พักอาศัย Wang Fuk Court ในเขตไทโป ฮ่องกง เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 (Photo by DALE DE LA REY / AFP)