ในยุคสามก๊ก ทุกคนล้วนทราบว่า โจโฉ คือปกครองวุ่ยก๊กในทางพฤตินัย แต่ความเป็นโจโฉนั้นถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางและหลากหลาย ทำให้เขาเป็นบุคคลที่ประวัติศาสตร์ประเมินคุณสมบัติเอาไว้หลากหลายที่สุดคนหนึ่ง
ความเป็นโจโฉในทางประวัติศาสตร์นั้นไม่เหมือนกับโจโฉในนิยาย กล่าวคือ โจโฉตัวจริงปรากฏเรื่องราวบันทึกไว้ในพงศาวดารต่างๆ เช่น "บันทึกสามก๊ก" 《三國志》แต่โจโฉในนิกายนั้นแต่เสริมเติมสีเข้าไปจนดูเหมือนจะร้ายจนไม่มีดี คือใน "นิยายสามก๊ก" 《三國演義》 ที่เรามักจะอ่านกันและเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง
ลู่จี นักวิชาการทหารแห่งง่อก๊ก ลูกของลกข้องและหลานชายลกซุน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของง่อก๊ก ได้กล่าวถึงโจโฉเอาไว้ว่า "แม้ว่าความสำเร็จของโจโฉจะส่งผลดีต่อคนจีนทั้งหมด แต่ความโหดร้ายของเขานั้นรุนแรงมาก" กระนั้นก็ตาม "ความเฉลียวฉลาดของเขาเทียบเทียมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เขากอบกู้โลกไว้ จากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ จึงได้รับการยกย่องจากทั่วโลก”
หลี่ซื่อหมิน หรือพระเจ้าถังไท่จง ประเมินโจโฉเอาไว้ว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าจักรพรรดิเว่ยอู่ตี้ (โจโฉ) มีเล่ห์เหลี่ยมและหลอกลวง และข้าเกลียดอุปนิสัยของเขาอย่างสุดซึ้ง” แต่ก็ทรงตรัสไว้ว่าโจโฉนั้นเป็น “จักรพรรดิผู้เปี่ยมด้วยวีรกรรมและวีรกรรมอันกล้าหาญ ทรงเผชิญกับยุคสมัยที่ยากลำบาก และรับหน้าที่เป็นเสาหลักของรัฐ เช่นเดียวกับผู้ร่วมสมัย แต่ความสำเร็จในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยของพระองค์นั้นแตกต่างจากราชวงศ์ก่อนๆ พระองค์ทรงเห็นการจมน้ำโดยไม่พยายามช่วยเหลือ และทรงเห็นการล่มสลายโดยไม่ทรงประคับประคอง ฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐและแสดงท่าทีราวกับเป็นผู้ไร้ผู้ปกครอง ต่อมา สามก๊กจึงได้สถาปนาขึ้น”
ในบรรดาตัวอย่างเหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า คนยุคหลังประเมินโจโฉด้วยตาชั่งที่ถ่วงเกือบจะเท่ากันระหว่างความดีความชอบและความชั่วร้าย
แต่นี่เป็นการประเมินโดยคนในวงการรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งการปกครองนั้นต้องอาศัยทั้งสีขาวและสีดำ ในโลกที่มุ่งปรารถนาแต่สีขาวนั้น โจโฉนั้นแทบจะไม่มีดีอะไรให้ยกย่องเลย เช่น จูซี นักปรัชญาสำนักหญูหรือสำนักขงจื๊อในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ซึ่งเน้นคุณธรรมและความชอบธรรมของราชัน) ประเมินโจโฉไว้ว่า "โจโฉมักจะยกคำพูดของโจวกง (ปราชญ์สมัยโบราณ) มากล่าวในบทกวีเสมอ .. เขาเป็นโจรที่ไม่เพียงแต่ขโมยบังเหียนของรัฐเท่านั้น แต่ยังขโมยธรรมะของปราชญ์อีกด้วย!" และกล่าวอีกว่า "โจโฉเป็นคนทรยศ"
ตามคำกล่าวของ จูซี โจโฉนั้นเป็นคนดีจอมปลอม มักยกคำพูดชองปราชญ์ที่เป็นเสาหลักของสำนักขงจื๊อมาอ้างความดีงาม แต่แท้จริงแล้วเขามีพฤติกรรมตรงกันข้าม จึงถูกผรุสวาสว่าไม่เพียงช่วงชิงการปกครองของรัฐที่ชอบธรรม แต่เอาดีเข้าตัวด้วยการ "ขโมยธรรมะของปราชญ์อีกด้วย" เพื่อล้างภาพลักษณ์ของตนว่าเป็นผู้ดำเนินตามรอยปราชญ์
ในบรรดาการประเมินคุณสมบัติโจโฉนั้น "สำนักสุขาวดี" แห่งพุทธศาสนามหายานในจีนมีการประเมินที่พิสดารล้ำลึกที่สุด เพราะประเมินโจโฉ "หลังความตาย" และประเมินไว้โดยให้น้ำหนักที่ "ความชั่ว"
ก่อนอื่นพึงทราบว่า ในการปฏิบัติธรรมตามวิธีของนิกายสุขาวดีในประเทศจีนนั้น แนวทางการปฏิบัติมี 3 ประการ คึอ หนึ่งภาวนาพระนามพระอมิตาภพุทธเจ้า สอง ตั้งใจจะเกิดที่สุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตาภะอยู่เบื้องตะวันตกของโลกธาตุของเรา และสาม ศรัทธาในพลังของพระอมิตาภพุทธเจ้าที่จะช่วยเหลือผู้ภาวนาพระนาของพระองค์ไปยังสุขาวดีโลกธาตุหลังจากสิ้นใจจากโลกนี้ไปแล้ว
ในบรรดาแนวปฏิบัติทั้ง 3 ข้อ คือ ปฏิบัติภาวนาพระนาม (行) ปรารถนาตั้งใจไปสุขาวดี (愿) และศรัทธาในพระอมิตาภุทธเจ้า (信) ข้อศรัทธานั้นมีความสำคัญมากเพราะเป็นรากฐานของการปฏิบัติทั้งหมดของนิกายนี้
ดังนั้น เพื่อให้ศรัทธาของผู้ปฏิบัติธรรมมั่นคงไม่คลอนแคลน จึงมีการเรียบเรียงประสบการณ์การปฏิบัติของผู็มุ่งไปสู่สุขาวดีเป็นหนังสือหลายเล่ม เช่น "บันทึกอริยะปราชญ์แห่งสุขาวดี" 《淨土聖賢錄》เขียนโดย เผิงจร่ชิง นักวิชาการด้านพุทธศาสนานิกายสุขาวดี ในเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ 48 ของรัชสมัยเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง หรือตรงกับ ค.ศ. 1783
ในหนังสือเล่มนี้มีประวัติของบุคคลหนึ่งชื่อว่า "ฝออัน" (佛安) ซึ่งต่อมาเรื่องราวของเขาถูกเอ่ยถึงมากครั้งกว่าคนอื่นในที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ เหตุผลเขามีวาสนาได้พบพานกับ "เฉาเชา" หรือ "โจโฉ" บุคคลในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊กของจีน แต่เป็นการพบพานที่พิลึกพิสดารเป็นอย่างยิ่ง
เนื้อหาว่าด้วนชีวประวัติของฝออันมีดังนี้
"ฝออัน มีนามสุภาพว่า ซื่อย่วน เป็นชาวซูโจว เมื่ออายุได้สามสิบกว่าปี เพื่อนบ้านคนหนึ่งได้ฆ่าหมูตัวหนึ่ง เมื่อเอาเครื่องในออก เขาสังเกตเห็นข้อความว่า "โจโฉ" (曹操) เขาตกใจมาก จึงตัดสินใจบวชที่วัดเทียนจู๋ ใกล้สะพานซ่างจิน ต่อมาได้ไปพำนักที่วัดต้าหวางเมี่ยวในเป่ยหาว อุทิศตนในการสวดพระนามพระพุทธเจ้าทุกวัน ทุกครั้งที่ได้รับเงิน เขาจะซื้อธูปและดอกไม้มาถวายพระพุทธเจ้า และปล่อยปลาและนก ในเดือนที่สามของปีที่สี่สิบเอ็ดแห่งรัชสมัยเฉียนหลง ท่านมีอาการอาพาธ จึงส่งศิษย์ไปยังวัดซือหลิน ขอให้พระสงฆ์ประกอบพิธีขมากรรมวิศุทธิภูมิเป็นเวลาสามวัน และประกอบพิธีโยคเปรตพลีชวาลมุข เมื่อเสร็จสิ้นพิธี ท่านได้จัดงานเลี้ยงอำลาในวันรุ่งขึ้น โดยสวดพระนามพระพุทธเจ้า เหล่าศิษย์ก็ร่วมสวดด้วย โดยจุดธูปสามดอก เวลาเที่ยงวัน ท่านมรณภาพอย่างสงบในอิริยาบถนั่ง ในชีวิตประจำวัน ท่านมักแต่งบทกวีเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนอุทิศบุญกุศล บทกวีหนึ่งตอนท้ายมีใจความว่า
“แท่นดอกบัวอันน่าอัศจรรย์ของโลกธาตุเบื้องตะวันตกเบ่งบานสะพรั่งในวัด สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน และสีเหลืองล้วนเป็นสีเดียวกัน ใจข้าปรารถนาเพียงเห็นตถาคต”
อีกบทหนึ่งมีใจความว่า
“อย่าพูดว่าเส้นทางสู่ตะวันตกนั้นไกลนัก ในชั่วพริบตาเดียว ท่านจะข้ามสะพานทองคำได้ พระอมิตาภจะทรงต้อนรับท่านด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน"
จบประวัติของฝออัน
จากประวัติของฝออัน เราทราบแค่ว่าเพื่อนบ้านของฝออันฆ่าหมู "เมื่อเอาเครื่องในออก เขาสังเกตเห็นข้อความว่า "โจโฉ" เขาตกใจมาก จึงตัดสินใจบวชที่วัดเทียนจู๋"
สาเหตุที่เครื่องในหมูมีอักษรคำว่า "โจโฉ" เพราะหมูตัวนั้นก็คือโจโฉกลับชาติมาเกิด และที่ฝออันตกใจมาก ก็เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาตระหนักถึงเภทภัยของการเวียนว่ายตายเกิด แม้แต่โจโฉผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสามก๊กก็ยังตายแล้วเกิดใหม่กลายเป็นหมูตัวเดียว คนทั้งหลายก็ต้องประสบกับภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้น เขาจึงสละทางโลกเพื่อภาวนาพระนามพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อมุ่งไปในเกิดยังสุขาวดีเบื้องทิศตะวันตก เมื่อตายจากโลกนี้จะไปเกิดบนแท่นบัวในสุขาวดี ได้พบพับพระอมิตาภพุทธตถาคต แล้วปฏิบัติธรรมที่นั่นเพื่อถึงพระนิพพานหรืออนุตตรสัมมาสัมโพธิ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
เรื่องราของฝออันและโจโฉถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์ประกอบการสอนธรรมของภิกษุที่มีชื่อเสียงของจีนบางท่าน เช่น พระเถระอิ้นกวง (印光法師) บูรพาจารย์แห่งนิกายสุขาวดีท่าที่ 13 ในสมัยสาธารณรัฐจีน ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในจดหมายถึงอุบาสกเว่ย ในเมืองจิ่นโจว ความตอนหนึ่งว่า
"ในรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นเซี่ยนตี้ (เหี้ยนเต้) โจโฉดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การกระทำของเขามุ่งหมายที่จะบั่นทอนอำนาจของจักรพรรดิและสถาปนาอำนาจของตนเอง โดยมุ่งหมายให้บุตรขึ้นครองราชย์เมื่อตนได้ตายไปแล้ว หลังจากตายไปแล้ว โจผีได้ขึ้นครองราชย์ ก่อนที่ศพของจะบิดาจัดพิธัอย่างเหมาะสมด้วยซ้ำ โจผีก็ได้ย้ายเมียน้อยของโจโฉไปยังพระราชวัง หลังจากตายไป โจโฉถูกตัดสินให้ตกนรกชั่วนิรันดร์ เป็นเวลากว่า 1,400 ปี ในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ชายคนหนึ่งในซูโจวได้ฆ่าหมูและตัดปอดและตับออก พบว่ามีอักษร "โจโฉ" จารึกอยู่บนหมู เพื่อนบ้านคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็เกิดความหวาดกลัวและบวชเป็นพระทันที ตั้งชื่อตามธรรมะว่า "ฝออัน" เขาอุทิศตนให้กับการสวดพระนามพระพุทธเจ้า และได้ไปเกิดในดินแดนสุขาวดีเบื้องตะวันตก เรื่องราวนี้ถูกบันทึกไว้ใน "บันทึกอริยะปราชญ์แห่งสุขาวดี" โจโฉวางแผนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อลูกหลาน แม้ลูกหลานจะจะครองราชย์เป็นจักรพรรดิ แต่ก็ครองราชย์ได้เพียง 45 ปีเท่านั้น อาณาจักรของเขาก็ล่มสลาย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทรงทำสงครามกับอาณาจักรจ๊กทางตะวันตกและอาณาจักรง่อทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยพบกับความสงบสุขแม้แต่วันเดียว ราชวงศ์ที่ตามมาภายหลัง ได้แก่ ราชวงศ์จิ้น หลิวซ่ง ฉี เหลียง เฉิน สุย และราชวงศ์ทั้งห้า (เหลียง ถัง จิ้น โห้วฮั่น และโห้วโจว) ล้วนครองราชย์ได้ไม่นาน ในจำนวนนี้ มีเพียงราชวงศ์จิ้นตะวันออกเท่านั้นที่ดำรงอยู่ยาวนานที่สุด เพียง 103 ปี ราชวงศ์อื่นๆ ดำรงอยู่เพียงสองหรือสามปี แปดหรือเก้าปี หนึ่งหรือสองทศวรรษ หรือสี่สิบหรือห้าสิบปีก่อนที่จะล่มสลาย นี่คือราชวงศ์ที่ถูกต้องตามความชอบธรรม ส่วนที่เหลือถูกยึดครองและถูกปกครองโดยรัฐที่ไม่มีความชอบธรรม ซึ่งมีจำนวนมากและมีอายุสั้นกว่ามาก จุดประสงค์เริ่มแรกของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการมอบความมั่งคั่งและเกียรติยศให้แก่ลูกหลาน ในความเป็นจริง ผลที่ตามมาคือมันจะนำไปสู่หายนะและการสังหารหมู่ของลูกหลาน ส่งผลให้ทั้งตระกูลสูญสิ้น แม้แต่จักรพรรดิผู้ครอบครองความมั่งคั่งแห่งมหาสมุทรทั้งสี่ ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าลูกหลานจะได้รับพรจากพระองค์ไปชั่วกาลนาน ยิ่งกว่ามนุษย์ปุถุชนผู้ซึ่งกรรมชั่วที่สั่งสมมานับล้านปีนั้นหนาทึบกว่าผืนดินและลึกล้ำกว่ามหาสมุทรเสียอีก คนเช่นนี้จะสามารถรับประกันความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลได้อย่างแท้จริง และจะได้รับพรอันปราศจากหายนะหรือไม่?"
พระเถระอิ้นกวงมีสติปัญญาอันเฉียบแหลมในการยก "แก่นแท้ของประวัติศาสตร์" มาอธิบายให้ผู้คนตระหนักถึงความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต เพราะแก่แท้ของประวัติศาสตร์ก็คือการบันทึกเรื่องของความเป็นอนิจจังของสังคม การเกิดขึ้นและดับไปของราชวงศ์ต่างๆ และความเจริญและเสื่อมถอยของพระวงศ์ต่างๆ ทั้งหมดเป็นอุทาหรณ์ที่ชัดเจนให้ผู้คนได้ตระหนักว่าไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอนใน "สหาโลกธาตุ" หรือจักรวาลของเรานี้ และหากตระหนักถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดียิ่ง เพราะจะเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นจากความอนิจจังของโลกธาตุนี้ เพื่อมุ่งสู่สุขาวดีโลกธาตุหรือโลกนิพพานเป็นความสุขที่นิรันดร
หากเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่เร่งปฏิบัติธรรมก็อาจหลงระเริงทำความผิดพลาดได้ พระเถระจิ้งคง (淨空法師) แห่งไต้หวัน ผู้เน้นการสอนตามหลักสำนักสุขาวดีกล่าวไว้ว่า
"โจโฉเป็นชายรูปงามตั้งแต่ยังหนุ่ม ผิวขาว หากมองในแง่มุมปัจจุบัน เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ เขาฉลาดหลักแหลม เขียนอธิบายตำราพิชัยสงครามของซุนวู และเกิดมาในครอบครัวที่มีอำนาจและร่ำรวย แล้วเขาเอาโชคลาภทั้งหมดนี้ไปทำอะไร? ทุกครั้งที่โจโฉเอาชนะขุนศึกได้ เขาจะยึดภรรยาและสนมของโจโฉมาเป็นของตน ฆ่าสามีและจับภรรยาไป เพื่อหาเงินมาเลี้ยงกองทัพ โจโฉถึงกับสถาปนาตำแหน่ง "นักปล้นสุสาน" ขึ้น ปล้นสุสานบรรพบุรุษเพื่อขโมยเงินและของมีค่า
ในการแสวงหาอำนาจสูงสุดในโลกอันวุ่นวาย โจโฉได้กระทำความโหดร้ายทารุณนับไม่ถ้วน และหลายคนต้องเสียชีวิตเพราะโจโฉ ในช่วงบั้นปลายชีวิต การกระทำอันชั่วร้ายของเขาได้ส่งผลเสียต่อเขา ทำให้เขาป่วยเป็นเนื้องอกในสมองและสูญเสียการมองเห็น ด้วยความโกรธแค้น เขาจึงสังหารแพทย์ชื่อดัง ฮว่าโต่ว ซึ่งมาช่วยเหลือเขาไว้
ไม่ว่าจะมีความผิดอย่างไร เขาก็อุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผน หลังจากโจโฉสิ้นพระชนม์ โจผี บุตรชายของเขาได้ขึ้นครองราชย์และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ นอกจากมารดาแล้ว โจผียังร่วมประเวณีกับสนมของพ่อ และนำนางสนมของโจโฉทั้งหมดมาเป็นของตน ต่อมา วุยก๊กตกไปอยู่ในมือของสุมาอี้ และลูกหลานของโจโฉจำนวนมากถูกสังหาร"
พระเถระจิ้งคงได้ยกกรณีของโจโฉมาตักเตือนเราว่า "ครูบาอาจารย์ของเรามักกล่าวว่า "เมื่อตกสู่อบายภูมิสาม (เปรตร เดรัจฉาน สัตว์นรก) แล้ว ย่อมต้องทนทุกข์ทรมานนานถึงห้าพันกัปป์" และไม่อาจหลีกหนีได้! เราคือโจโฉคนที่สอง เพียงแต่มีพรอันประเสริฐน้อยกว่า (โจโฉ) สติปัญญาน้อยกว่า และมีมิตรสหายน้อยกว่า สุดท้ายแล้ว เราจะกลายเป็นไก่ เป็ด ปลา และเนื้อเพื่อชดใช้หนี้! เราจะกลายเป็นอาหารของคนอื่น เราต้องเลือกให้ชัดเจนว่าเราจะทำอะไรในโลกนี้"
การเลือกให้ชัดเจนนั้นท่านกล่าวว่า "แท้จริงแล้ว การเกิดและการตายนั้นไม่น่ากลัว แต่การเวียนว่ายตายเกิดต่างหากที่น่ากลัว! แล้วเราจะหนีการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร? วิธีเดียวที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยคือการสวดพระนามพระพุทธเจ้าและขอพรให้ไปเกิดยังสุขาวดี"
ในบรรดาผู้ที่ตระหนักถึงอนิจจังในประวัติศาสตร์นั้น ฝออัน ถือเป็นมีผู้อินทรีย์แก่กล้าที่สุด เพราะเห็นคำว่า "โจโฉ" ในเครื่องในหมูเพียงแค่แวบเดียว ก็หวาดกลัวในภัยแห่งสังสารวัฏในบัดดล แล้วเร่งปฏิบัติภาวนา จนกระทั่งปลดเปลื้องตัวเองจากวงจรแห่งการเกิดตายที่เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดได้
ป.ล.
เรื่องโจโฉกลายเป็นหมู ดูเหมือนจะแพร่หลายในหมู่ผู้คนพอสมควร มีการขยายเรื่องนี้ให้กลายเป็นนิยาย เรื่อง อวี๋กงอั้น 《於公案》นิยายสืบสวนสอบสวนนสมัยราชวงศ์ชิงโดยอ้างอิงจากประวัติของ อวี๋เฉิงหลง (于成龍) ขุนนางสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการปราบการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการประพฤติชั่วต่าง ตอนหนึ่งเล่าถึงโจโฉกลับชาติมาเป็นหมูเอาไว้ว่า
"หลังจากเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีในวันนั้น ท่านขุนนางผู้ประเสริฐก็กลับไปยังห้องทำงาน รู้สึกง่วงนอนจึงนอนลงที่โต๊ะทำงาน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงผิวปากดังมาจากข้างนอกและเห็นอาชญากรคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง อาชญากรคนนั้นสวมปลอกคอยาว ถูกล่ามโซ่เหล็ก เท้าเปล่า ผมเพ้ารุงรัง เขาคุกเข่าลงต่อหน้าท่านขุนนางผู้ประเสริฐด้วยอาการเสียใจอย่างยิ่ง ท่านขุนนางผู้ประเสริฐตกใจและถามว่า "คนคุกเข่าคนนี้เป็นใคร" อาชญากรก้มศีรษะลงและกล่าวว่า "ท่านโปรดฟัง ชาติก่อนข้าเคยเป็นขุนนางของราชวงศ์ฮั่น ชื่อโจโฉ ข้าปรารถนาสุสานของป้าหลงตุน (ปล้นสุสาน) และละเมิดขอบเขตของข้า หลังจากข้าตาย พญายมราชทรงพิโรธกล่าวว่าเจ้าภูตผีตนนี้ได้ก่อกรรมนับพันประการ เร่ร่อนไปในนรกโดยไม่มีที่ที่ไม่ประณาม! บัดนี้ข้าถูกลงโทษให้ไปเกิดเป็นสัตว์ร้ายในโลกมนุษย์ ทนรับคมดาบพันปี วันนี้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้ง ข้าวิงวอนต่อสวรรค์ให้ทรงเมตตาและประทานความรอดพ้นแก่ข้า ข้าจะไม่กล้าฝ่าฝืนสวรรค์อีกต่อไป" อาชญากรร้องไห้และก้มศีรษะลง ท่านขุนนางผู้ประเสริฐสบถด่าอย่างโกรธจัดว่า “เจ้าโจโฉผู้ทรยศ เจ้าสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง! สมัยก่อนเจ้าประมาทเลินเล่อ ยิงกวางใส่บ้านของสวีเถียน สร้างความอับอายแก่จักรพรรดิเหี้ยนเต้ ด้วยความหวาดกลัวความเสื่อมถอยของราชวงศ์และการล่มสลายของชาติ เจ้าจึงทำร้ายข้าราชบริพารและคนดี บีบบังคับจักรพรรดินีให้ตาย และกดขี่ผู้ที่อ่อนแอกว่าภายใต้หน้ากาก เจ้าเป็นเพียงเสนาบดีในนาม แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนทรยศ!” วิญญาณนั้นหวาดกลัว หมุนวนไปมา ก่อนจะออกจากห้องไปด้วยความโศกเศร้า ขุนนางผู้ประเสริฐสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ไม่เห็นใครอยู่ในห้องและท้องฟ้ามืดครึ้ม เขาครุ่นคิดในใจว่า “แปลกจริง ๆ ในฝันข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นโจโฉผู้ทรยศแห่งราชวงศ์ฮั่นที่มาขอร้องชีวิตข้า ข้าคิดว่ามันนานมากแล้ว ทำไมคนร้ายเช่นนี้ถึงมาปรากฏตัวในฝันของข้า” ขุนนางผู้ประเสริฐไม่อาจเข้าใจได้ จึงออกคำสั่งว่า “เปิดประตู เตรียมตัวขึ้นศาล!” ทันทีที่เขานั่งลง เสียงร้องคล้ายหมูก็ดังมาจากใต้ห้องพิจารณาคดี ขุนนางผู้ประเสริฐก้มลงมองดูและพบว่าเป็นหมูดำจริงๆ “เจ้าหน้าที่ จงขับไล่หมูดำออกจากศาล!” หมูดำคุกเข่าอยู่ในศาล ดูเหมือนมนุษย์ ท่านขุนนางผู้ประเสริฐประหลาดใจ จึงสั่งให้คนรับใช้ในชุดสีน้ำเงินรีบตรวจสอบหมูดำนั้นว่ามีร่องรอยของมนุษย์หรือไม่
ตำรวจศาลรับคำสั่ง จึงเดินไปหาหมูดำ พิจารณาอย่างละเอียดอยู่นาน จากนั้นเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจและคุกเข่าลงกล่าวว่า "ท่านครับ กระผมตรวจสอบหมูดำแล้ว และเห็นตัวอักษรข้างๆ ชัดเจน คล้ายกับตัวอักษร 'โจโฉ' อย่างไม่ต้องสงสัย" เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขุนนางผู้ประเสริฐก็ตระหนักว่า ไม่น่าแปลกใจที่ผีตนนี้เคยอ้อนวอนขอความเมตตามาก่อน และเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ก็เกิดขึ้น! โจโฉเป็นชายในสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่กลับกลายเป็นหมูดำ แท้จริงแล้ว ความยุติธรรมของสวรรค์นั้นชัดเจน ปราศจากข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ขุนนางผู้ประเสริฐจึงสั่งว่า "เจ้าหน้าที่มานี่ ไปเรียกคนขายเนื้อมาเร็ว!" นายตำรวจชุดสีน้ำเงินก้าวออกไปส่งสาร และบังเอิญได้พบกับชายจากนอกเมือง ซึ่งเป็นพ่อตาของหลี่จิ้นลู่ ผู้ซึ่งเดินทางมาจากมณฑลซานตงเพื่อเยี่ยมญาติ วันนั้นเขามาทำธุระที่ย่าเหมิน (สำนักข้าหลวงท้องถิ่น) และเมื่อถูกเรียกตัวโดยผู้พิพากษา เขาก็มาถึงและคุกเข่าลงในห้องพิจารณาคดี ท่านขุนนางผู้ประเสริฐประกาศว่า "หมูตัวนี้จารึกคำว่า 'โจโฉ' ไว้ บ่งบอกว่ามันต้องเป็นปีศาจร้ายกลับชาติมาเกิดแน่ๆ ควรประหารชีวิตเพื่อเตือนคนโง่เขลา หากเจ้าของต้องการ รัฐบาลจะจัดหาเงินสองตำลึงให้" จากนั้นเขาก็สั่ง "รีบนำหมูดำไปฆ่าที่ถนนเพื่อเป็นการเตือนฝูงชน" จากนั้นเขาก็เขียนประกาศด้วยตนเองและประกาศให้ประชาชนทราบ หลิวเฉิง คนขายเนื้อไม่กล้ารอช้า เขานำหมูดำไปที่ถนน ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งชูประกาศขึ้น จากนั้นหลิวเฉิงก็เริ่มฆ่าหมู ทั้งทหารและประชาชนต่างตกตะลึง ต่างสบถด่าโจโฉและสรรเสริญเสนาบดีผู้ชาญฉลาด หลังจากการพิจารณาคดี" (จากเรื่อง 于公案 第六十二回 李進祿濟南投親 斬曹操清官執法)
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพเหมือนจักรพรรดิเว่ยเหวินตี้ หรือ โจผี บุตรชายของโจโฉ วาดโดยจิตรกรสมัยราชวงศ์ถัง เหยียนลี่เปิ่น