จักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิงกับ'พลังแห่งพระสูตร'ซึ่งช่วยพระองค์ยึดอำนาจจากหลานชาย

จักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิงกับ'พลังแห่งพระสูตร'ซึ่งช่วยพระองค์ยึดอำนาจจากหลานชาย

ตามปกติแล้วผู้คนจะเข้าใจว่ารัชกาลหย่งเล่อ รัชสมัยของพระเจ้าหมิงเฉิงจู่แห่งราชวงศ์หมิง เป็นยุคทองของศิลปวัฒนธรรมจีนและยุคแห่งการสำรวจโลกของกองเรือเจิ้งเหอ ความจริงแล้ว แม้ความเจริญทางวัฒนธรรมทางโลกในรัชกาลนี้นับว่าถึงที่สุดแล้ว (เช่น การสร้างพระราชวังหลวงอันงดงามที่ปักกิ่ง หรือพระราชวังกู้กง) แต่ความเจริญทางธรรมก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะองค์หย่องเล่อทรงมีศรัทธาปสาทะในพระบวรพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ทั้งพุทธแบบทิเบตและแบบจีน ถือเป็นยุคทองของศาสนาพุทธยุคหนึ่งในจีน

ในรัชกาลนี้ องค์หย่งเล่อทรงเป็นประธานจัดพิมพ์พระไตรปิฎกมากมายทั้งฉบับภาษาจีนและภาษาทิเบต เป็นมรดกสำคัญของชาวพุทธและชาวโลก หนึ่งในนั้นคือพระไตรปิฎกฉบับภาคอุดร หรือ หย่งเล่อเป่ยจั้ง (永樂北藏) ที่ได้ชื่อว่าภาคอุดร เพราะจัดสร้างขึ้นที่นครหลวงเป่ยจิง (แหลว่านครหลวงทางทิศอุดรหรือทิศเหนือ) เมื่อปีค.ศ. 1421 มาเสร็จสิ้นเอาในรัชกาลเจิ้งถง ปีค.ศ. 1440 แบ่งออกเป็น 636 ชุด จำนวน 1621 พระสูตร/ปกรณ์ จำนวนทั้งสิ้น 6361 ผูก 

หลังจากสร้างเสร็จแล้วได้ทรงพระราชทานไปยังวัดวาอารามต่างๆ ทั่วแผ่นดิน กระทั่งในปี ค.ศ. 1584 ตรงกับรัชกาลจักรพรรดิว่านลี่ ได้มีการจัดสร้างแม่พิมพ์ไม้ของพระไตรปิฎกชุดนี้ขึ้น และมีการเพิ่มจำนวนปกรณ์เข้าไปอีก 36 ปกรณ์ รวม 41 ชุด จำนวน 410 ผูก นอกจากนี้ ยังมีการเติมปกรณ์เพิ่มเติมอีก 4 ปกรณ์ 4 แม่พิมพ์ จากฉบับหนานจั้ง โดยลักษณ์เด่นของหย่งเล่อเป่ยจั้ง รูปเล่มแบบโบราณเป็นสมุดพับ มีตัวพิมพ์ใหญ่อ่านง่าย แต่หน้าหน้ามีแถวอักษรเพียง 25 แถว แถวละ 17 อักษร  

ในแง่เทคโนโลยีด้านบรรณารักษศาสตร์ พระไตรปิฎกฉบับนี้ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านสารบรรณเพราะใช้ระบบการจัดดัชนีโดยอิงกับตัวอักษรทั้ง 1,000 ตัวของตำราพันอักษร (เชียนจื้อเหวิน - 千字文) ซึ่งเป็นระบบการจัดดัชนีแบบเดียวกับพระไตรปิฎกฉบับโครยอ (ฉบับเกาหลี พิมพ์ในสมัยราชวงศ์หยวน) โดยชุดแรกจัดอยุ่ในหมวดอักษร เทียน (天) หมวดสุดท้ายจัดอยู่ในหมวด สือ (石) เป็นต้น เป็นระบบการแคตาล็อกสิ่งพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจีนโบราณ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนในจำนวนเลขที่มากมาย จึงใช้อักษรจากตำราโบราณที่ใช้อักษรไม่ซ้ำกันเลยถึง 1000 ตัวแทนตัวเลข (คัมภีร์ลาน/พับของโบราณในแถบสุวรรณภูมินี้ ก็ใช้ระบบอักษรแทนเลขหน้าเช่นกัน)

นอกจากจะทรงเป็นประธานพิมพ์พระไตรปิฎกอันป็นธรรมทานซึ่งเป็นบุญกริยาอันยิ่งใหญ่แล้ว ยังทรงพระราชนิพนธ์หนังสือธรรมะเรื่อง "ชีวประวัติสงฆ์ผู้ทรงวิทยาคุณ" หรือ "เสินเซิงจ้วน" 《神僧傳》 เสร็จสิ้นเมื่อเดือนอ้าย ปีที่ 15 แห่งการครองราชย์ มีทั้งหมด 9 ผูก รวมประวัติพระเถระทั้งสิ้น 208 รูป ตลอดช่วงประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจนถึงสมัยราชวงศ์หยวน หรือตั้งแต่พระกาศยปะมตังคะ (迦葉摩騰) ที่เดินทางมาจากชมพูทวีปเพื่อประกาศศาสนาครั้งแรกในจีน จนถึงสมัยของพระลามะดัมปะรัฐคุรุ (胆巴国师) ผู้เป็นราชครูแห่งฮ่องเต้ราชวงศ์หยวน อันเป็นราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์หมิง 

เนื้อหาประวัติแต่ละท่านเน้นพรรณนาคุณวิเศษและศรัทธาปสาทะเป็นหลัก ทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง การที่พระเจ้าหย่งเล่อทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น ก็เพื่อแสดงกตัญญุตาต่อราชครูต้าวเหยี่ยน (道衍) หรือ เหยากว่างเซี่ยว (姚廣孝) พระภิกษุผู้ถวายการศึกษา และที่ปรึกษาขององค์หย่งเล่อ เป็นบุคคลที่ฮ่องเต้เคารพศรัทธาอย่างยิ่ง ทั้งยังช่วยปลูกฝังศรัทธาของพระองค์ต่อพุทธศาสนา กระทั่งพระองค์มีพระบรมราชโองการพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับหย่งเล่อ และยังพระราชนิพนธ์หนังสือประกาศคุณพระสงฆ์เล่มนี้ (อนึ่ง ชีวประวัติสงฆ์ผู้ทรงวิทยาคุณ รวมอยู่ในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับไทโช หมายเลขลำดับที่ 2064)

นอกจากหนังสือเรื่อง "ชีวประวัติสงฆ์ผู้ทรงวิทยาคุณ" องค์หย่งเล่อยังทรง พระราชนิพนธ์ "กถามุข" หรือบทนำของ "อุษณีษวิชัยธารณี"  อันเป็นธารณีหรือมนตร์สำคัญของพุทธศาสนามหายาน 

อุษณีษวิชัยธารณี ปรากฏอยู่ใน "อุษณีษวิชัยธารณีสูตร" 《佛頂尊勝陀羅尼經》 ได้รับการแปลจากภาษษสันสกฤตเป็นภาษาจีนถึง 9 ครั้งในช่วงเวลาเกือบหาร้อยปีนับแต่ราชวงศ์เป่ยโจว (ค.ศ. 557 - 581) จนถึงราชวงศ์เป่ยซ่ง (ค.ศ. 960 - 1127) แสดงให้เห็นคณาจารย์ในพุทธศาสนาเล็งเห็ฯนว่าพระสูตรนี้และธารณีในพระสูตรมีอานุภาพอย่างยิ่ง 

ใน "อุษณีษวิชัยธารณีสูตร" กล่าวว่า  “หากบุคคลเป็นโรคร้ายแรงได้ สดับธารณีนี้ย่อมห่างไกลจากพยาธิทั้งปวง โรคร้ายมลายสูญ หากต้องตกไปในทุคติภูมิย่อมถูกขวางมิให้ต้องตกไปในทุคติ ภูมิ และไปบังเกิดในโลกธาตุอันศานติ เมื่อพ้นจากกายนี้มิ ต้องกลับมาเกิดในครรภ์ ไปบังเกิด ณ สถานที่ใด ล้วนบังเกิด จากปทุมชาติ ทุกที่ที่ไปบังเกิด ยึดถือธารณีมิลืมเลือน และรู้ อดีตชาติ” 

ท่านลามะ โซปะ รินโปเช พระภิกษุชาวทิเบตในยุคของเราได้เคยกล่าวว่า "อุษณีษวิชัยธารณี (ทิเบตเรียกว่า "มนต์นัมกยัลมา") ทรงพลังอย่างยิ่ง หากนำมนต์นี้ไปวางไว้บนภูเขา ภูเขาทั้งลูกก็จะได้รับพร และมนุษย์ สัตว์ หรือแมลงใดๆ ที่สัมผัสหรือปีนขึ้นไปบนภูเขานั้น กรรมชั่วจะได้รับการชำระล้างด้วยสิ่งนี้ พวกเขาไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่า นี่คือมนต์หลักสำหรับการชำระล้างและหลุดพ้นจากภพภูมิต่ำ ชำระล้างกรรมชั่วโดยการประพรมมนต์บนร่างของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือสวดเพื่อผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว"

คงเพราะพลังอันครอบจักรวาลนี้กระมังที่ทำให้บรรพชิตและจักรพรรดิจีนศรัทธาในอุษณีษวิชัยธารณีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะองค์หย่งเล่อ ดังที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์พระองค์ ดังนี้ 

กถามุขอุษณีษวิชัยธารณี พระราชนิพนธ์ของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง
ข้าพเจ้าคิดว่าจุดประสงค์เดียวที่ว่าเหตุใดพระตถาคตทั้งหลายจึงทรงประกาศคำสอนของมหายาน ทั้งเปิดเผยอุปายะทวารธรรมอันมากมาย แสดงธรรมเทศนาหลายร้อยหลายพันพระสูตรและข้อธรรมต่างๆ ทั้งหมดนี้มิใช่อื่นใด ก็เพื่อชี้หนทางแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากวิบากกรรม

อุษณีษวิชัยสูตรและธารณี เป็นทั้งปัญญามุทราแห่งพระตถาคตทั้งหลาย มีความไพศาล มีมหากรุณา มีความลึกซึ้งและหาได้ยากยิ่ง ยังประโยชน์โดยถ้วนทั่วแก่สรรพชีวิตที่สับสนและหลงทาง เป็นเสมือนนาวาข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เป็นดังแสงสว่างของดวงสุริยาอาทิตย์และจันทราสาดส่องยังความมืดมิด เป็นอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้หิวโหย

หากสัตตบุรุษแลสตรี และสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก มุ่งมั่นที่จะฝึกฝนโพธิจิต ยึดถือ สาธยาย ตั้งจิตหรือมีธารณีนี้ไว้กับตน ก็จะได้รับพรที่ไร้ขอบเขตและคุณธรรมที่ดีงามและได้รับการปลดเปลื้องจากความทุกข์อันชั่วร้ายทั้งปวง กรรมชั่วทั้งหลายที่สั่งสมมาแต่เริ่มต้นยาวนานหลายโกฏิกัปจะถูกชำระไปไม่มีเหลือ

หากผู้ใดปฏิบัติและยึดถือธารณีนี้อย่างขยันขันแข็ง คนผู้นั้นจะได้รับพรและการอภิเษกจากพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คนผู้นั้นจะได้รับการปกปักษ์รักษาโดยเทพ อีกทั้งความสำเร็จทางโลกและอายุขัยยืนนานไม่มีขอบเขต ผลลัพธ์อันประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าประสบกับตนเองแล้วว่าจริงแท้แน่นอน

ข้าพเจ้า ผู้เป็นเจ้าปกครองแผ่นดิน รู้สึกสงสารที่พสกนิกรมากมายที่ดึงดันยึดติดกับความเชื่อและการปฏิบัติของตน โดยมิได้ตระหนักว่าการกระทำเช่นนั้นผิดและเป็นบาป และจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในชะตากรรมอันเลวร้าย นี่ช่างน่าเวทนาและเศร้าจริงๆ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาให้เผยแพร่พระสูตรและธารณีไปยังดินแดนต่างๆ มากมายที่นับไม่ถ้วนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ขอให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้รับประโยชน์อันยิ่งใหญ่ อายุขัยของพวกเขายาวขึ้น กุศลทวีคูณ และบรรลุพุทธะโดยพร้อมเพรียงกัน

ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้าทรงปฏิญาณที่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างโดยไพศาล ผู้ที่จะได้รับการโปรดเป็นอันดับแรกก็คือผู้ที่ภักดีและกตัญญู ขุนนางผู้ภักดีและลูกกตัญญูที่เกิดในประเทศที่มีวัฒนธรรมและอารยรรมสูงส่งในช่วงเวลาสันติ จะได้รับความมั่งคั่งและความสุขมากมายหลายประการ เพราะพวกเขารับใช้จักรพรรดิและบิดรมารดาของตนอย่างเต็มความสามารถ นอกจากนี้ หากพวกเขาเคารพและกราบไหว้พระรัตนตรัย ปฏิบัติธรรมนและสั่งสมกุศลผลบุญ ในเวลาอันสั้นพวกเขาจะเข้าสู่มรรควิถีแห่งการตรัสรู้

ส่วนผู้ที่กระทำการชั่วและไม่รู้จักแก้ไขพฤติกรรมของตนเอง การกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเขาจะเลวร้ายลงทุกวัน คนเหล่านี้สะสมกรรมชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ และจักจมปลักอยู่กับความเสื่อมถอยเหมือนคนที่ถูกอาบด้วยสี ยากที่จะชำระล้างให้สะอาดอย่างแท้จริง เมื่อตกอยู่ในกาละอันมืดมิด แล้วอะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากโลกแห่งการเกิดตาย? หากพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นและปฏิบัติตามทวารธรรมนี้ พวกเขาจักสามารถก้าวข้ามพ้นสังสารวัฏแห่งการเกิดตายยาวนานนับไม่ถ้วนกัปได้ 

เดือนที่ 6, ปีที่ 9 แห่งรัชศกหย่งเล่อ 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่แสดงถึงความศรัทธาขององค์หย่งเล่อที่มีต่อพุทธศาสนา และยังทรงปรารถนาที่จะให้พลังแห่งพุทธศาสนา เป็น "พลังแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์" ให้กับพสกนิกรของพระองค์

ไม่เพียงแต่ลำพังพระองค์เท่านั้น แม้แต่ สฺวีฮองเฮา (徐皇后) หรือ "จักรพรรดินีเหรินเซี่ยว" (仁孝皇后) พระจักรพรรดินีในองค์หย่งเล่อ ก็ยังทรงมีพระราชศรัทธาในพุทธศาสนายิ่งนัก มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า คืนหนึ่งขณะกำลังนมัสการพระ ทรงเกิดความรู้สึกคล้ายกำลังฝันไป ปรากฎพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (หรือกวนอิม) มาพาพระนางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกพระสูตรหนึ่งให้พระนางได้ศึกษา พระนางอ่านพระสูตรนั้น 3 ครั้งก็จำได้ขึ้นใจ เมื่อมีสติขึ้นมาอีกครั้ง จึงทรงเขียนพระสูตรจากความทรงจำจนครบถ้วน 

ชื่อพระสูตรนี้คือ "พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่งซึ่งจดจำจากความฝันแห่งพระนางเหรินเซี่ยวแห่งต้าหมิง" 《大明仁孝皇后夢感佛說第一希有大功德經》

การพบพานพระสูตรนี้ของพระจักรพรรดินีขององค์หย่งเล่อไม่เหมือนกับการที่องค์หย่งเล่อทรงศรัทธาในอุษณีษวิชัยธารณี เพราะการพบและสวดสาธยาย "พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง" ของพระนางสฺวีฮองเฮามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเถลิงอำนาจขององค์หย่งเล่อ

ดังนั้น นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงชี้ว่า  "พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง" ที่พระนางสฺวีฮองเฮาพานพบในความฝัน คือ "ตัวบท" ที่ช่วยยืนยันความชอบธรรมขององค์หย่งเล่อในการชิงอำนาจจาก "หลาน" (ลูกชายของพี่ชาย คือองค์เจี้ยนหวิน) แล้วปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง

กรณีนี้ในประวัติศาสตร์จีนเรียกว่า "การณรงค์จิ้งหนาน" (靖難之役) โดยในเวลานั้นพระจ้าหมิงไท่จู่ จูหยวนจาง พระราชบิดาขององค์หย่งเล่อได้เสด๋จสวรรคตแล้ว ผู้ที่ขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งราชวงศ์หมิงต่อมาคือ จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน พระราชโอรสของจูเปียว พระราชโอรสองค์ที่แรกของจูหยวนจางและเป็นองค์รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปก่อน ในเวลานั้น องค์เจี้ยนเหวินมีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาขององค์หย่งเล่อ และในเวลานั้นองค์หย่งเล่อมีบรรดาศักเป็น  "กษัตริย์เอียน" (燕王) เป็นสามนตราชที่ปกครองแคว้นเอียน หรือกรุงปักกิ่งในปัจจุบัน

องค์เจี้ยนเหวินพอได้ครองราชย์แล้วก็ทรงวนโยบายลดอำนาจของบรรดาสามนตราช รวมถึงกษัตริย์เอียน ดังนั้น ในวันที่ 5 เดือน 7 ปีแรกของรัชสมัยเจี้ยนเหวิน (6 สิงหาคม ค.ศ. 1399 จูตี้หรือกษัตริย์เอียน พระราชโอรสองค์ที่สี่ของ จูหยวนจาง ได้ก่อกบฏต่อต้านองค์เจี้ยนเหวิน ครั้งนี่้สงครามกินเวลานานเกือบสามปี สุดท้าย จูตี้ หรือกษัตริย์เอียน  เข้าตีกรุงหนานจิงได้ พระราชวังหลวงถูฏเผาผลาญและองค์เจี้ยนเหวินสวรรคตในพระราชวังนั้น กษัตริย์เอียนจึงปราบดาภิเษกเป็นจักรรดิองค์ใหม่ พระนามรัชกาลว่าหย่งเล่อ

ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนรัชกาลนั้น มีเหตุที่พระชายาของ จูตี้ หรือกษัตริย์เอียน หรือหย่งเล่อในอนาคต มีพระสุบินอันแปลกประหลาด

พระนางสฺวีฮองเฮาทรงเล่าไว้ว่า "วันแรกของเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ 31 แห่งรัชกาลหงอู่ (ค.ศ. 1389 หรือรัชกาลของพระจ้าหมิงไท่จู่ จูหยวนจาง พระราชบิดาขององค์หย่งเล่อ) ข้าพเจ้านั่งอยู่ในศาลา จุดธูป อ่านคัมภีร์โบราณ จิตใจและวิญญาณสงบนิ่ง ทันใดนั้น แสงสีม่วงทองก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ ข้าพเจ้ารู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน ข้าพเจ้าเห็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ปรากฏกายในแสงสว่าง เป็นรูปลักษณ์อันเปี่ยมด้วยความเมตตา เดินนำหน้าไป โดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าขี่เมฆสีเขียวพร้อมกับม้าสองสามตัว และมาถึงประตูที่เรียกว่า "แดนคิชฌกูฏ"  หลังจากเข้าไปและเดินทางหลายลี้ ข้าพเจ้าก็เห็นประตูอีกบานหนึ่ง ด้านบนมีอักษรสีทองจารึกไว้ว่า "โพธิมัณฑ์อันดับแรกของคิชฌกูฏ" (โพธิมัณฑ์ แปลว่า สถานบำเพ็ญธรรมของโพธิสัตว์) ข้าพเจ้าเดินขึ้นไปยังยอดเขา ที่นั่นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นำทางข้าพเจ้าขึ้นไปยังแท่นดอกบัวเจ็ดชั้น ซึ่งมีพระราชวังอันงดงามตั้งอยู่ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า "ความดีของข้าพเจ้ายังน้อยนิด ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร" พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ตรัสว่า “นี่คือโพธิมัณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของตถาคตเท่านั้นจึงจะบรรลุถึง ณ ที่นี้ได้ พระนางมีคุณธรรมอันสูงส่ง แต่พระนางกำลังจะประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ข้าพเจ้าได้ชี้แนะพระนางไว้ ณ ที่นี้โดยเฉพาะ พระตถาคตมักจะตรัสพระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งพระสูตรทั้งปวง ซึ่งสามารถขจัดภัยพิบัติทั้งปวงได้ การสวดภาวนาและธำรงรักษาพระสูตรนี้ไว้เป็นเวลาหกปีจะนำไปสู่พุทธภาวะ พระนางผู้ถูกกำหนดให้เป็นมารดาของประเทศชาติ (หมายความว่าในอนาคตจะได้เป็นจักรพรรดินี) ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการช่วยเหลือสรรพชีวิต จากนั้นพระนางได้รับมอบคัมภีร์เล่มหนึ่ง พร้อมกับสั่งให้สวดจนจำได้ขึ้นใจ นี่คือพระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง ข้าพเจ้าสวดสามครั้งโดยจำได้อย่างแม่นยำ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังมาจากภายในพระราชวัง และรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที ข้าพเจ้ารีบหยิบพู่กันขึ้นมาจดบันทึกคัมภีร์และมนตราที่นางได้รับมา โดยไม่เว้นแม้แต่คำเดียว นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าท่องคัมภีร์นี้ทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดยั้ง ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่ 32 แห่งรัชสมัยหงอู่ (ค.ศ. 1380) สถานการณ์อันยากลำบากได้เกิดขึ้น ฝ่าบาท (ต่อมาคือจักรพรรดิหย่งเล่อ) ได้นำทัพเข้าป้องกันผู้รุกราน เมืองนี้ประสบภัยอันตรายหลายประการ การที่ข้าพเจ้าท่องคัมภีร์นี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความมุ่งมั่นมากขึ้น จักรพรรดิผู้ได้รับพรจากสวรรค์และโลก และได้รับการสนับสนุนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการสนับสนุนจากพรของจักรพรรดิไท่จู พระราชบิดาผู้ล่วงลับ และจักรพรรดินีเสี่ยวฉี พระราชมารดาผู้ล่วงลับ ในปีที่ 35 แห่งรัชสมัยหงอู่ (ค.ศ. 1380) ทรงปราบภัยพิบัติ พิทักษ์วิหารบรรพบุรุษ และทรงครองราชย์เป็นประมุข บันทึกไว้ในวันที่ 8 เดือน 5 ของปีแรกแห่งรัชกาลหย่งเล่อ"

จากบันทึกนี้แสดงเห็นว่าเพราะการสวด "พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่งซึ่งจดจำจากความฝันแห่งพระนางเหรินเซี่ยวแห่งต้าหมิง" ของพระนางสฺวีฮองเฮาจึงช่วยให้องค์หย่งเล่อทรงปราบศัตรูและเถลิงราชสมบัติเป็นจักรพรรดิได้ในที่สุดหลังจากเกิดความวุ่นวายของการชิงอำนาจระหว่างองค์ชายเมื่อพระเจ้าหมงไท่จู่ จูหยวนจางสวรรคตเมื่อปีที่ 35 แห่งรัชสมัยหงอู่

โปรดสังเกตข้อความที่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กล่าวกับพระนางสฺวีฮองเฮาว่า "พระนางผู้ถูกกำหนดให้เป็นมารดาของประเทศชาติ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการช่วยเหลือสรรพชีวิต" การกล่าวเช่นนี้มีหมายความว่าในอนาคตพระนางจะได้เป็นจักรพรรดินี และแน่นอนว่าพระสวามีคือ "กษัตริย์เอียน" หรือองค์หย่งเล่อจะได้เป็นจักรพรรดิ สิ่งศักดิ์สิทธิจึงประทานพระสูตรนี้มาช่วยป้องกันและช่วยปกป้องในการสถาปนาตัวเองเป็นใหญ่

ดังนั้น นักวิชาการจึงกล่าวว่า "พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง" ที่พระนางสฺวีฮองเฮาพานพบในความฝัน คือ การอ้างความชอบธรรมว่า สวรรค์ได้สถาปนา "กษัตริย์เอียน" ให้เป็นจักรพรรดิหย่งเล่อแล้ว ส่วนองค์เจี้ยนหวินที่ถูกชิงอำนาจนั้นมิได้รับความเห็นชอบจากสวรรค์

พระสูตรนี้จึงเป็นอีกบทหนึ่งซึ่งทำให้องค์หย่งเล่อทรงประจักษ์ในพลังแห่งพุทธคุณ เพราะมีส่วนที่ทำให้พระองค์ได้กลายเป็นจักรพรรดิ เมื่อเป็นจักรพรรดิก็ทรงทนุบำรุงพุทธศาสนาอย่างดียิ่งจนยากที่จักรพรรดิจีนพระองค์อื่นๆ จะเทียบได้ 

ป.ล.
"พระสูตรมหาพละกุศลอันหายากยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง" ถูกจักอยู่ในพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับหย่งเล่อภาคอุดร และชุดที่ชื่อว่า "หมื่นอักขระฉบับต่อเนื่อง" (卍字續藏經) และบันทึกของพระนางสฺวีฮองเฮาก็อยู่ในกถามุขหรือบทนำของพระสูตรในพระไตปิฎกฉบับนี้ โดยอยู่ในหมวดของคัมภีร์นอกสารบบ (疑偽經) หรือคัมภีร์ที่ต้องสงสัยว่าแต่งขึ้นมาในภายหลัง ดังนั้น จึงอาจจะสงสัยได้เหมือนกันว่าว่าพระสูตรนี้อาจจะแต่งขึ้นมาเพื่อสนองกระบวนการสร้งความชอบธรรมให้กับการเถลิงอำนาจขององค์หย่งเล่อ 

บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo -พระบรมสาทิสลักษณ์ของจักรพรรดิเฉิงจู่ หรือหย่งเล่อ อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระราชวังกู้กง ที่ไทเป, ไต้หวัน (國立故宮博物院藏, 成祖文皇帝御容)
 

TAGS: #หย่งเล่อ #ราชวงศ์หมิง #ประวัติศาสตร์จีน