การล่มสลายของสหรัฐอเมริกาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่การชัตดาวน์'จักรวรรดิอเมริกัน'ที่แท้จริงคือสิ่งนี้

การล่มสลายของสหรัฐอเมริกาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่การชัตดาวน์'จักรวรรดิอเมริกัน'ที่แท้จริงคือสิ่งนี้

สัปดาห์นี้ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทำเรื่องพิกล ด้วยการเรียกตัวนายพลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวอเมริกันหลายร้อยจากทั่วโลกเพื่อรับฟังการปราศรัยของเขาใกล้กรุงวอชิงตัน 

ตอนแรกสื่อวิเคราะห์กันใหญ่ว่าทำไมถึงเรียกนายพลมาเยอะแยะขนาดนี้ หรือว่าจะก่อสงครามอีกแล้ว?

ปรากฏว่า เฮกเซธ แค่ต้องการประกาศแนวทางใหม่ของฝ่ายกลาโหมโดยกล่าวว่า กองทัพสหรัฐฯ จำเป็นต้องแก้ไข "ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ"

แต่ในวันเดียวกันนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความเสื่อมโทรมให้ชาวโลกเห็นด้วยการ "ชัตดาวน์" หรือหยุดให้บริหารทุกหน่วยงาน เนื่องจากรัฐสภาแตกแยกกันจนไม่สามารถตกลงกันเรื่องงบประมาณได้

สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะรักษาสถานะความเป็น "มหาอำนาจหนึ่งเดียว" ของโลกเอาไว้ แม้ว่าจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าความพยายามนั้นไร้ผล และแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ (ซึ่งไปร่วมชุมนุมนายพลกับเฮกเซธด้วย) จะพยายาม "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" แต่มันก็ไร้ผลอีกเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นตัวเร่งการล่มสลายของ "จักรวรรดิ" ด้วยซ้ำ

การ "ชัตดาวน์" หน่วยงานของรัฐที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนว่าโครงสร้างการเมืองของสหรัฐฯ เปราะบางอย่างมากและสะท้อนว่าแต่ละฝ่ายทางการเมืองไม่ประนีประนอมให้กัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสิ่งที่ตามมาสองเรื่องคือ สังคมและการเมืองที่เดินหน้าไม่ได้ หรือไม่ต้องเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา

ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร การล่มสลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยก็ในสายตานักคิดและนักทฤษฎีการเมืองหลายคน

เช่นในหนังสือ Après l’empire - Essai sur la décomposition du système américain (หลังยุคจักรวรรดิ ความเรียงว่าด้วยการล่มสลายของระบบอเมริกัน) นักสังคมวิทยาและนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล ท็อดด์ (Emmanuel Todd) คาดการณ์ถึงความเสื่อมถอยและการล่มสลายของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจในที่สุด โดยชี้ว่า “หลังจากถูกมองว่าเป็นผู้แก้ปัญหา (ของโลก) มาหลายปี ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเองกลับกลายเป็นปัญหาของโลก” 

เอ็มมานูเอล ท็อดด์ กล่าวแบบนี้ว่า "สหรัฐอเมริกากำลังกลายเป็นปัญหาของโลก เราเคยชินกับการมองว่ามันเป็นทางออกมากกว่า ในฐานะผู้ค้ำประกันเสรีภาพทางการเมืองและความสงบเรียบร้อยทางเศรษฐกิจมาครึ่งศตวรรษ สหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นปัจจัยแห่งความปั่นป่วนระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรักษาความไม่แน่นอนและความขัดแย้งไว้เท่าที่จะทำได้" 

เอ็มมานูเอล ท็อดด์ บอกว่าหากพิจารณาดีๆ เราจะเห็นว่าสหรัฐอเมริกากำลังถดถอยเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก การถดถอยนี้มีสององค์ประกอบ คือ

ข้อแรก โลกกำลังอยู่ในกระบวนการปลดปล่อย กล่าวคือ ความรู้ด้านต่างๆ กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก (เราคาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีอัตราความรู้หนังสืออย่างสมบูรณ์ภายในปี 2030) และผลกระทบโดยตรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการเกิดที่ลดลง และการเกิดขึ้นของระบบประชาธิปไตย แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงจะมาพร้อมกับวิกฤตการณ์ต่างๆ การปลดปล่อยโลกนี้ส่งผลกระทบอย่างไม่คาดคิดต่อรากฐานของความเป็นผู้นำของอเมริกา ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดคือการทหารซึ่งอำนาจด้านการทหารของสหรัฐฯ มั่นคงอยู่ได้ก็พราะอาศัยความไม่สงบเรียบร้อยทั่วโลก แต่เพราะการถือกำเนิดของประชาธิปไตยและสันติภาพ ทำให้ไม่มีสงครามที่สหรัฐฯ เข้าไปยุ่งในระยะยาวได้ เพราะตามทฤษฎีของ ไมเคิล ดอยล์ (Michael Doyle) ระบุที่ว่าสงครามระหว่างประเทศประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การขาดสงครามถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่ออำนาจนำของอเมริกา

(แนวคิดของ ดอยล์ เรียกว่า Kant's Perpetual Peace [สันติภาพถาวรของคานท์] ซึ่งมีรากฐานจากแนวคิดของนักปรัชญา อิมมานูเอล คานท์ [Immanuel Kant] ที่เชื่อว่ายิ่งประเทศต่างๆ เป็นประชาธิปไตยก็จะยิ่งเลี่ยงที่จะปะทะกันและใช้สันติวิธีมากกว่า ดอยล์ ระบุว่า มีเหตุผลหลักสามประการสำหรับเรื่องนี้ ได้แก่ ระบอบประชาธิปไตยมักจะมีวัฒนธรรมทางการเมืองภายในประเทศที่คล้ายคลึงกัน มีศีลธรรมร่วมกัน และระบบเศรษฐกิจมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม [โดยเฉพาะรบอบสาธารณรัฐ[ ที่มีการค้าขายระหว่างกัน จึงต้องพึ่งพากันทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จะพยายามรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตไว้เสมอ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจ)

ข้อสอง สหรัฐอเมริกากำลังตกต่ำ แม้สหรัฐฯ จะมีอำนาจด้วยการทำสงครามในที่ต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการเปิดโปงจุดอ่อนของสหรัฐฯ ที่เรื้อรังมานานโดยเฉพาะการรบภาคพื้นดินตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงความขัดแย้งในอัฟกานิสถาน ซึ่งสหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้ที่เอาชนะสงครามได้เลยหากปราศจากประเทศอื่นๆ คอยช่วยหนุน และในด้านสังคมสหรัฐอเมริกากำลังตกต่ำทางอุดมการณ์ เรื่องนี้ถูกเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในดินแดนของตน เช่น การแบ่งแยกเชื้อชาติระหว่างคนผิวขาว ผิวดำ และชาวฮิสแปนิก และการตระหนักของโลกภายนอกว่าสหรัฐฯ ไม่มีความเป็นกลาง  เช่น มีแนวทางปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์

นี่คือสองสมมติฐานหลักที่ เอ็มมานูเอล ท็อดด์ เสนอไว้ว่าคือแกนกลางที่สร้างความเสื่อมถอยให้กับสหรัฐฯ หนึ่งคือ ส่วนอื่นๆ ของโลกำลังปลดปล่อยตัวเองจากการถูกมหาอำนาจเดี่ยวครอบงำ และสหรัฐฯ ที่เป็นมหาอำนาจเดี่ยวกำลังถูกสนิมเนื้อในตนกัดกร่อนอย่างรุนแรง

มาขยายความข้อที่หนึ่งกันก่อน

แต่เดิมนั้นเพราะสหรัฐฯ ทำตัวเป็น "ตำรวจโลก" และ "ผู้กำหนดค่านิยมการเมืองโลก" โดยสร้างแนวทางที่เป็น "สากลนิยม" ที่อิงกับระบอบประชาธิปไตย แนวคิดเสรีนิยม และทุนนิยมกับตลาดเสรี

อย่างไรก็ตาม เอ็มมานูเอล ท็อดด์ ชี้ว่าความมุ่งมั่นสหรัฐฯ มีความมุ่งมั่นต่อหลักการสากลนิยมลดน้อยลง โดยปฏิบัติต่อกลุ่มต่างๆ อย่างไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาชี้ว่าความน่าดึงดูดใจทางอุดมการณ์ของสหรัฐฯอ่อนแอลง เพราะก่อนหน้านี้ภายใต้แรงกดดันด้านการแข่งขันของสงครามเย็น สหรัฐฯ พยายามนำเสนอตัวเองในฐานะทางเลือกที่น่าสนใจแทนลัทธิคอมมิวนิสต์ จนนำไปสู่ความพยายามที่เพิ่มขึ้นในการบูรณาการกลุ่มคนชายขอบ รวมถึงชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเข้าสู่สังคมสากลนิยมที่มีขันติต่อความหลากหลายทางเชื้อชาติ (การเอาใจคนหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้คนชายขอบรู้สึกถูกประเทศเสรีของตนทอดทิ้ง แล้วหันไปรับแนวคิดทางการเมืองฝ่ายตรงข้าม)

อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันทางอุดมการณ์นี้สิ้นสุดลง แนวโน้มการกีดกันกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่งผลกระทบต่อประชากรผิวดำและชาวฮิสแปนิกอย่างมาก ท็อดด์แสดงให้เห็นถึงการถดถอยนี้ผ่านความแตกต่างของอัตราการตายของทารกและวิวัฒนาการของกลุ่มประชากรต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มชนกลุ่มน้อยมีสวัสดิภาพที่ย่ำแย่ลง เพราะรัฐบาลไม่จำเป็นต้องเอาใจคนเหล่านี้หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น

และการที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลเพียงฝ่ายเดียวอย่างเด่นชัด เป็นตัวอย่างของการหันเหจากหลักการสากลนิยมไปสู่การใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเท่าเทียมกันอย่างเลือกปฏิบัติและกีดกันมากขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ประเทศอาหรับและมุสลิมยิ่งห่างเหินจากสหรัฐอเมริกามากขึ้น 

ท็อดด์ สรุปว่าสหรัฐฯ ได้สูญเสียพลังทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ของ "มหาอำนาจแห่งชัยชนะ" ไปแล้ว ทั้งๆ ที่อุดมการณ์น้ันสามารถส่งเสริมการหลอมรวมทางวัฒนธรรม อเมริกาในปัจจุบัน ปัจจุบัน สังคมสหรัฐฯ ถูกบดบังด้วยการยอมรับความแตกต่างที่ลดน้อยลง (ณ เวลานี้ที่เขียนนี้ สังคมสหรัฐฯ ยิ่งต่อต้าน "แนวคิดความหลากหลาย" มากขึ้น เพราะนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน)

มาขยายความข้อที่สองในลำดับต่อมา

ว่าด้วยอำนาจทางการทหารของสหรัฐฯ ที่เสื่อมถอยลง ท็อดด์ชี้ให้เห็นว่าอำนาจของสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับการรักษาความไม่เป็นระเบียบ ยิ่งโลกวุ่นวายเท่าไร สหรัฐฯ ก็จะถูกมองว่ามีความจำเป็นต่อโลก แต่สถานะนี้ถูกสั่นคลอน เพราะเมื่อการศึกษาแพร่กระจายไปทั่วโลกก็ทำให้ผู้คนมีความรู้มากขึ้นและเป็นอิสระมากขึ้น ทำให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้กำกับดูแลระดับโลกก็เริ่มไม่มีความจำเป็น  

เมื่อเผชิญกับความท้าทายนี้ สหรัฐฯ จึงต้องหาทางชดเชยอำนาจทางทหารที่เสียไป ด้วยการมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่อ่อนแอกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกอิสลาม แต่กลยุทธ์นี้ยิ่งเผยให้เห็นอิทธิพลระดับโลกที่ลดลงและไม่สามารถเผชิญหน้ากับมหาอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าได้  เอ็มมานูเอล ทอดด์ เสนอว่าชนชั้นนำทางการเมืองของสหรัฐฯ ล้มเหลวในการพัฒนายุทธศาสตร์ระยะยาวที่มีความสอดคล้องกัน โดยคนเหล่านี้กลับเลือกเส้นทางที่มีอุปสรรคน้อยที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางที่ขาดความสอดคล้องทางยุทธศาสตร์

ทอดด์ กล่าวว่าชนชั้นนำอเมริกันส่วนใหญ่ละทิ้งการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์หรือแบบจักรวรรดินิยม หันไปใช้มาตรการระยะสั้นแบบรับมือเพื่อรับมือกับความท้าทายเฉพาะหน้า แนวทางนี้ เมื่อประกอบกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและการพึ่งพาระบบโลก นำไปสู่การมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งรอบนอกเพื่อฉายภาพอำนาจอย่างเกินจริง ทอดด์เน้นย้ำถึงการที่สหรัฐอเมริกายึดติดกับประเทศอิสลามว่าเป็นตัวบ่งชี้จุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง 

ท็อดด์ ชี้ให้เห็นถึงสามประเด็นสำคัญ ได้แก่ การวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของผู้หญิงในสังคมอิสลามที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการเสื่อมถอยของกรอบอุดมการณ์สากลนิยมของสหรัฐฯ (นั่นคือแทนที่จะโอบรับความหลากหลาย กลับโจมตีคนอื่นๆ ที่ไม่เหมือนตน) ความหมกมุ่นที่จะครอบครองการเข้าุแหล่งน้ำมันของอาหรับตอกย้ำถึงประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เสื่อมถอยลงอย่างรุนแรง (ไม่สามารถพัฒนาพลังงานใหม่ๆ ได้ แต่ยังพึ่งพาน้ำมันแบบเดิมๆ) และการมุ่งเน้นไปที่ประเทศอิสลามที่อ่อนแอทางการทหารคือการใช้สิ่งนี้อำพรางศักยภาพที่บกพร่องทางทหารภาคพื้นดินของสหรัฐฯ (เมื่อรบกับประเทศที่อ่อนแอกว่า ก็จะช่วยปกปิดความอ่อนแอทางการทหารของตน)

ในสามข้อหลังนี้ จะนำไปสู่อีกประเด็นสำคัญอีกประเด็นที่เป็นตัวการหลักของ "การล่มสลายของจักรวรรดิอเมริกัน"

เป็นที่รู้กันว่า สหรัฐฯ สามารถผลิตเงินและหลักทรัพย์ได้ไม่จำกัดโดยอิงกับ "ความน่าเชื่อถือ" แต่ท็อดด์กล่าวว่าถึงจะอิงกับ "ความปลอดภัย" หรือความมั่นใจในความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจและการงินแบบนี้ "มีความเสี่ยงที่ชัดเจน" เพราะสหรัฐอเมริกาขาดกำลังทหารและอุดมการณ์ที่จะค้ำจุนกระแสเงินทุนเหล่านี้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจสูงสุดทางเศรษฐกิจ 

สหรัฐอเมริกาจะรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้ก็ต่อเมื่อยึดมั่นในหลักสากลนิยม เพราะสากลนิยมหรือการรักษาค่านิยมที่ตัวเองเป็นหลักนั้น จะทำให้ทั้งโลกยอมคล้อยตาม (เช่นเดียวกับที่จักรวรรดิโลกทุกแห่งเคยทำมาก่อน) และจะต้องไม่ปฏิบัติต่อผู้คนนอกสหรัฐอเมริกาอย่างเลือกปฏิบัติ

แต่นับแต่ตั้งวันที่ ท็อดด์ ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ จนถึงวันนี้ เส้นทางที่สหรัฐฯ กำลังเดินอยู่ คือ การปฏิบัติต่อชาวโลกอย่างเหยียดหยาม กระทำการสวนทางกับหลักสากลนิยมของตัวเอง โดยเฉพาะในสมัยของทรัมป์ สหรัฐฯ ทำลายทั้งหลักสากลนิยม ทำลายระบบการค้าที่อิงกับหลักสากลนิยม และยังพยายามแผ่อำนาจทางการทหารโดยไม่อิงกับหลักการใดๆ ทั้งสิ้น

ในแง่ของเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมที่บริโภคมากกว่าผลิต โดยพึ่งพาความมั่งคั่งจากภายนอก อย่างไรก็ตาม อำนาจทางทหารและอุดมการณ์ของสหรัฐฯ ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาอำนาจการควบคุมโลกไว้ได้ ซึ่งบ่งบอกถึงการเสื่อมถอยของสถานะจักรวรรดิ และก็ยังสหรัฐอเมริกาขาดองค์ประกอบสำคัญสองประการของความยั่งยืนของจักรวรรดิ นั่นคือ หนึ่ง ศักยภาพทางทหารและเศรษฐกิจในการบังคับใช้การแสวงประโยชน์ และสอง อุดมการณ์สากลนิยมที่กำลังเสื่อมถอยลง เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ยึดถือหลักการเท่าเทียมกันในการปฏิบัติต่อประชาชนและประเทศชาติอีกต่อไป

โดยสรุปก็คือ กลไกต่างๆ ที่เคยค้ำจุนการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (อันเป็นเสาหลักของความเป็นจักรวรรดิ) ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องโดยสหรัฐฯ เอง และเมื่อสหรัฐฯ อ่อนแอลง และมีตัวเลือกใหม่เกิดขึ้นมาในโลก ในเวลานั้นสหรัฐฯ ก็จะเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยอย่างแม้จริง

ในเวลาที่เขียนหนังสือของ เอ็มมานูเอล ท็อดด์ เขาเอ่ยถึงการแข็งแกร่งขึ้นมาของรัสเซีย แต่ไม่ได้เอ่ยถึงว่าในท้ายที่สุดแล้วประเทศที่จะเข้ามาเบียดกับสหรัฐฯ บนเวทีอำนาจก็คือ จีน 

เอ็มมานูเอล ท็อดด์ อาจจะวิเคราะห์ความเสื่อมถอยของสหรัฐฯ ได้แหลมคม แต่เขาก็เหมือนนักวิเคราะห์ทั่วไปที่ยังมองไม่เห็นอนาคตได้สมบูรณ์แบบ เพราะเขาคาดการณ์ว่าอำนาจนำของอเมริกาจะเสื่อมถอยลงภายในปี 2050 แต่ความเสื่อมถอยนี้จะทำให้สหรัฐอเมริกาให้กลายเป็นมหาอำนาจธรรมดา ไม่ใช่มหาอำนาจเดี่ยว

กระนั้นก็ตาม เขาเสนอว่าจะไม่มีประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นยุโรป รัสเซีย หรือญี่ปุ่น ที่จะก้าวขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างอำนาจนำ ซึ่งจะนำไปสู่ ​​“ภาวะชะงักงัน” ทางภูมิรัฐศาสตร์ เปรียบเสมือนเกมหมากรุกที่ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด ซึ่งการวิเคราะห์นี้มองข้ามจีนไปอย่างเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่ในเวลาที่หนังสือเล่มนี้ออกมา จีนก็เริ่มแสดงท่าทีจะเป็นคู่แข่งและคู่กรณีกับสหรัฐฯ แล้ว

เอ็มมานูเอล ท็อดด์  ถึงกับเสนอให้เสนอให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อที่จะคอยอุดช่องโหว่ที่เกิดจากสหรัฐฯ ละเลยหลักการสากลนิยม นี่เท่ากับว่าเขายังต้องการให้ "ระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ" คงอยู่ต่อไปอีก แม้ว่าเขาจะวิเคราะห์ถึงจุดเสื่อมของจักรวรรดินี้ไปแล้วก็ตาม

ถึงเขาจะให้เหตุผลว่าญี่ปุ่นและเยอรมนีเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจและประชาธิปไตยก็ตาม แต่วิสัยทัศน์ของเขาในเวลานั้นสั้นเกินกว่าที่จะมองเห็นว่าในเวลานี้ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนีเทียบไม่ติดกับจีน โดยเฉพาะญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยยิ่งกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ขณะที่เยอรมนีก็เสียการนำในเวทีโลกไปแล้ว

ข้อด้อยของหนังสือ "หลังยุคจักรวรรดิ ความเรียงว่าด้วยการล่มสลายของระบบอเมริกัน" ก็คือมองข้ามจีนเกินไป หากผู้เขียนสามารถ "แลเห็น" การผงาดของจีนที่พุ่งขึ้นมาในเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น เชื่อว่าเขาจะปรับ "จุดจบ" ของจักวรรดิอเมริกันเสียใหม่ เพราะไม่ต้องรอให้ถึงปี 2050 สหรัฐฯ กับจีนก็เป็นมหาอำนาจชิงดีชิงเด่นกันแล้ว และสหรัฐฯ เสื่อมลงเร็วกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เอ่ยถึงจีน เขาบอกว่าพวกอเมริกันนั้น "เป็นพวกชอบสงครามโดยจำเป็น" (เพราะหากไม่ทำสงคราม อำนาจก็จะถดถอย เศรษฐกิจก็จะไม่หมุนเวียน) แต่แม้จะมีนิสัยแบบนั้น พวกอเมริกันก็ไม่อยากจะเสียไพร่พลของตนไป จึงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่สามารถเล่นถึงตายได้ นั่นคือ รัสเซียและจีน หรือแม้กระทั่งเกาหลีเหนือ

หากเชื่อแบบนี้ ต่อให้รัฐบาลทรัมป์เรียกตัวนายพลมาชุมนุม หรือลั่นกลองจะรบแหล่ไม่รบแหล่ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะสหรัฐฯ ก็จะยังไม่กล้าชนกับประเทศใหญ่ๆ ที่อยู่คนละฝ่าย

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯกล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่รวมตัวกัน ณ ฐานทัพนาวิกโยธินควอนติโก ในเมืองควอนติโก รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568  (Photo by Jim WATSON / AFP)

TAGS: #สหรัฐอเมริกา #จักรวรรดิ #มหาอำนาจ