ท่ามกระแสต่อต้านการเปิดด่านที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทีมีความคาดหวังจากคนไทยจำนวนหนึ่งว่าการปิดด่านแบบยืดเยื้อจะยิ่งบั่นทอนสภาพเศรษฐกิจของกัมพูชา และเมื่อเศรษฐกิจกัมพูชาอ่อนแอลงจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนกระทั่งนำไปสู่การยุติความขัดแย้งกับไทย
แต่สภาพเศรษฐกิจของกัมพูชาในเวลานี้เป็นอย่างไรกันแน่?
อนาคตไม่สดใสเหมือนเดิม
เมื่อไม่นานมานี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ว่าเศรษฐกิจกัมพูชากำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่รุนแรง เช่น ความขัดแย้งทางการค้า ความตึงเครียดในภูมิภาค และความเปราะบางทางการเงินภายในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะชะลอตัวลงจาก 6% ในปี 2567 เหลือ 4.8%
คณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นำโดยนายเคนิชิโร คาชิวาเสะ ระหว่างการปรึกษาหารือประจำปีตามมาตรา 4 ของกองทุน ณ กรุงพนมเปญ คณะผู้แทนได้หารืออย่างกว้างขวางกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ผู้นำธุรกิจ และพันธมิตรเพื่อการพัฒนา
เคนิชิโร คาชิวาเสะ ระบุว่า เศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการส่งออกเครื่องนุ่งห่มและสินค้าเกษตร และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แรงผลักดันนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงต้นปี 2568
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2568 การเติบโตจะชะลอตัวลง เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าและข้อพิพาทชายแดนกับไทย แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตาม เริ่มส่งผลกระทบต่ออุปสงค์จากต่างประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งเงินกลับประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.8% แต่ความเสี่ยงด้านลบยังคงสูงอยู่
ปัญหากับไทยปัญหากับทรัมป์
เคนอิจิโร คาชิวาเสะ ยอมรับถึงความพยายามของรัฐบาลกัมพูชาในการกำหนดอัตราภาษีให้เอื้ออำนวยมากขึ้นกับการค้า โดยอัตราภาษี 19% มี่โดนนัลด์ ทรัมป์กำหนดกับกัมพูชาแม้ว่ายังต่ำกว่าที่ประกาศไว้ในตอนแรกอย่างมาก และใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกในกัมพูชายังคงต้องแบกรับต้นทุนบางส่วน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ การลดลงของเงินโอนและรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสองปัจจัยหลักที่นำมาพิจารณาในการคาดการณ์ที่ปรับปรุงใหม่ของเรา แม้ว่าการคาดการณ์การเติบโต 4.8% จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปีที่แล้ว แต่การลดภาษีของรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จก็ช่วยลดผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง
IMF เตือนว่าความขัดแย้งทางการค้าและชายแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจยิ่งทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสองเสาหลักของเศรษฐกิจกัมพูชาอ่อนแอลง ซึ่งการท่องเที่ยวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวกลับลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 และยังคงประสบปัญหาในการฟื้นตัว ปีที่แล้ว กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.7 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หวังทำเงินจากสนามบินเตโช
ความคาดหวังที่จะทำเงินจากการท่องเที่ยวมีเพิ่มมากขึ้น หลังจากกัมพูชาเพิ่งเปิดให้บริหารท่าอากาศยานนานาชาติเตโชตาเขมา โดยรัฐบาลกัมพูชาหวังว่าท่าอากาศยานแห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางการบินหลักแห่งใหม่ของเมืองหลวง และจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ท่าอากาศยานแห่งใหม่นี้จะสามารถรองรับผู้โดยสารทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศได้มากถึง 13 ล้านคนต่อปี โดยมีเป้าหมายที่จะรองรับผู้โดยสารได้ถึง 50 ล้านคนภายในปี 2593
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต กล่าวบนโซเชียลมีเดียว่า สนามบินแห่งใหม่จะให้บริการเที่ยวบินคุณภาพสูงแก่ผู้โดยสารในและต่างประเทศ ขยายการเชื่อมต่อทางอากาศของกัมพูชากับโลก และสร้างแรงกระตุ้นใหม่ๆ ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจไม่ง่ายนัก เพราะอีกความเสี่ยงสำคัญมาจากภาวะทรุดตัวของการท่องเที่ยว ก็คือ สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6% ของสินเชื่อทั้งหมด โดยกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์
และยังหวังรายได้จากจีน
จากรายงานของ NAI 500 ระบุว่า ที่ผ่านมา การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนไหลเข้าจากจีนเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเติบโตทาเศรษฐกิจของกัมพูขา แต่การไหลกลับของกระแสเงินทุนทำให้เกิดแรงกดดันด้านสินค้าคงคลังในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองชายฝั่ง ขณะเดียวกัน แม้ว่าการท่องเที่ยวจะดีขึ้น แต่ก็ยังคงมีความไม่สมดุลในทุกตลาด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับปี 2562 ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญเนื่องจากกระแสเงินสดจากการเข้าพักโรงแรมถูกนำไปใช้เพื่อชำระคืนเงินกู้ธนาคาร ซึ่งมักได้รับการค้ำประกันโดยอิงจากสมมติฐานเชิงบวกก่อนปี 2563 อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นการก่อสร้าง (ที่อิงกับทุนจีน) ถูกระงับ และมูลค่าที่ดินไม่สามารถรองรับได้เหมือนในอดีตอีกต่อไป
เมื่อวันที่ 10 กันยายน ขณะเข้าร่วมงาน Belt and Road Forum ครั้งที่ 10 ในประเทศจีน ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและรองประธานสภาพัฒนาคนที่ 1 ของกัมพูชา กล่าวในบทสัมภาษณ์พิเศษกับผู้สื่อข่าวจากส "สำนักข่าวธุรกิจแห่งศตวรรษที่ 21" 《21世纪经济报道》 ของจีนว่า กัมพูชามีนโยบายการลงทุนที่เสรีและเปิดกว้างที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ทำให้กัมพูชาเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนที่เหมาะสำหรับบริษัทจีน
ซุน จันทอล ยืนยันความสำคัญและความสำเร็จของกรอบความร่วมมือ “หกเหลี่ยมเพชร” จีน-กัมพูชาอย่างเต็มที่ โดยได้นำเสนอเขตเศรษฐกิจพิเศษพนมเปญให้เป็นต้นแบบของความร่วมมือจีน-กัมพูชา ปัจจุบันเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้มีบริษัทประมาณ 200 แห่ง และได้สร้างงานหลายพันตำแหน่งให้แก่ชุมชนท้องถิ่น
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP