อย่างที่ทราบกันว่ามีการปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่ด่านช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
ฝ่ายที่เริ่มก่อนคือกัมพูชา
แต่หลังจากถูกฝ่ายไทยตอบโต้นานถึง 10 นาที แม่ทัพฝ่ายกัมพูชาก็ติดต่อมายังฝ่ายไทยขอเจรจาหยุดยิง
แปลกไหม? เริ่มก่อนแล้วก็ดันยกธงขาวก่อน
ไม่ต้องแปลกใจ เพราะคนกัมพูชาจำนวนไม่น้อยมีความ "บ้าบิ่น" เพราะถูกปลูกฝังเรื่อง "คลั่งชาติ" ให้มองไทยว่าเป็น "โจร" ที่ขโมยแผ่นดินและวัฒนธรรมของพวกเขาไป
บ้าบิ่นขนาดก่อเรื่องกล่าวหาประชาชนคนไทยไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ถูกคนไทยสวนกลับจนหงาย ต้องยกธงขาวทุกวัน แล้วก็กลับมาซ่าอีก แบบนี้เรื่อยๆ
ผมไม่ได้พูดเกินเลย โปรดไปอ่านหนังสือแบบเรียน หนังสือประวัติศาสตร์ (จอมปลอม) และโปรดท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดียของกัมพูชา แล้วจะทราบว่า สิ่งเหล่านั้นบ่มเพาะให้คนกัมพูชา "ห้าวกับไทย"
ความคิดแบบนี้อยู่ในหัวของทหารด้วยเช่นกัน เช่น กรณีปราสาทตาเมือนธมเมื่อเร็วๆ นี้ ทหารกัมพูชาที่พาคนไปร้องเพลงปลุกใจบนปราสาทในพื้นที่ไทยก็เป็นพวกคลั่งชาติเข้ากระดูก ไม่เชื่อลองอ่านบทความของ The Better ในเวลานั้นดูได้ เราเจาะลึกไว้หมดแล้วว่า ทหารพวกนั้นมีความคิดแบบไหน
ถ้าระดับผู้บังคับบัญชายังคลั่งชาติและมองไทยเป็นศัตรูแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกทหารปลายแถว อาจจะยิ่งกว่านายด้วยซ้ำ
ในขณะที่ทหารไทยเรามีจิตใจที่อาจหาญอย่างมีคุณภาพ แม้จะยอมรักษาแผ่นดินไทยด้วยชีวิต แต่ก็ไม่ทำเรื่องไร้คุณธรรมอย่างการอ้างกรรมสิทธ์ดินแดนผู้อื่น ยิ่งไม่ทำเรื่องหน้าหนาอย่างเช่นอ้างว่าวัฒธรรมของเขาเป็นของเรา
ที่เขียนมาถึงตอนนี้ก็เพื่อจะบอกให้ทราบว่า "หากจะแก้ปัญหากัมพูชา จงแก้ที่ระดับสติปัญญา" เพราะประชาชนที่นั่นถูกล้างสมองด้วยลัทธิคลั่งชาติอย่างเลวร้าย
แต่ก็ยังมีคนไทยบางคน "โลกสวย" และ "ใจบอด" โดยบอกว่า ทำไมหนอรัฐบาลไทยกับกัมพูชาดูสนิทสนมกันดี แต่ในโซเชียลมีเดียภถึงทะเลาะกัน มันจะต้องเป็นเพราะ "คนไทยคลั่งชาติ" ก่อเรื่องทำให้บาดหมางระหว่างกันแน่นอน
ผู้ที่มีความคิดแบบนี้ มีความรู้และใจที่คับแคบ เพราะโทษแต่คนไทยด้วยกันเอง
คนแบบนี้ผมเห็นมาเยอะ โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2000 ซึ่งในวงวิชาการและสื่อมวลชนนิยม "ลัทธิโลกทั้งผองพี่น้องกัน" ที่มองว่าเพื่อนบ้านคือเพื่อนของเราแท้ๆ ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเราเลย แถมยังด่าคนไทยที่รักชาติและรักษาประวัติศาสตร์ของเราเองว่าเป็นพวก "คลั่งชาติ" โทษฐานไม่ยอม "ร่วมวัฒนธรรม" กับเพื่อนบ้าน
นอกจากจะดูถูกคนไทยด้วยกันพร้อมกับยกหางเพื่อนบ้านแล้ว ยังจะยกให้เพื่อนบ้านสูงส่งกว่าไทยโดยตั้งทฤษฎีที่ไม่อิงกับหลักฐานอะไรทั้งสิ้นเพื่ออ้างว่า "ไทยรับวัฒนธรรมของเขมรมา" โดยไม่ได้บอกว่าเขมรปัจจุบันนั้นรับของไทยไปเกือบทั้งดุ้น
การยกหางเพื่อนบ้านแบบนี้ทำให้เพื่อนบ้านได้ที จึงข่มไทยว่าเป็นโจรทางวัฒนธรรมบ้าง แย่งแผ่นดินของพวกเขาไปบ้าง กลายเป็นเหตุของปัญหาทุกวันนี้
นั่นคือไทยโลกสวยยกยอเพื่อนบ้านเป็นพ่อ ส่วนเพื่อนบ้านที่ยังไม่มีการศึกษาขั้นสูงที่จะทำตัวให้เป็น "พลเมืองโลก" ที่ใจเป็นธรรมเหมือนไทย ก็ทำตัวเป็นนักเลงเพราะคิดว่า "ข้ายิ่งใหญ่กว่าไทยมาแต่โบราณ"
พวกโลกสวยเหล่านี้ ปัจจุบันถูกคนไทยก่นด่าจนแทบไม่มีที่ยืนแล้ว แต่ยังได้รับการเคารพบูชาจากเพื่อนบ้านที่ต้องการแย่งวัฒนธรรมและแผ่นดินไทย เพราะคนพวกนี้หลงไหลกับความคิดเรื่อง "โลกไร้พรมแดน" และ "วัฒนธรรมร่วม"
โดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่า เพื่อนบ้านไม่มีสติปัญญาสูงถึงขั้นตระหนักในเรื่อง "วัฒนธรรมร่วม" ที่ถ่องแท้ ยิ่งไม่ต้องไปสอนเรื่อง "โลกไร้พรมแดน" เพราะเพื่อนบ้านจะเขมือบแผ่นดินไทยลูกเดียว
คนไทยที่ไม่ทันโลกพวกนี้ยังด่าคนไทยด้วยกันเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไทยกับกัมพูชาทะเลาะกันเสียอย่างนั้น
ผมสงสัยว่าเพราะอาจไม่เล่นโซเชียลมีเดีย จึงไม่ทราบคนกัมพูชานั่นแหละที่เริ่มโจมตีคนไทยก่อน ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าไทยขโมยโขน "ของเรา" ไป เขมรเราเป็นต้นตำรับมวยไทย และชุดไทยเป็นของเรา
การโมเมพวกนี้มาจากรากฐานเดียวกับปัญหาที่ชายแดน นั่นคือ "กัมพูชาคลั่งชาติ"
ไม่ใช่ไทยคลั่งชาติ!
ดังนั้น คนไทยที่เลอะเลือนถึงขั้นชี้นิ้วมาที่ไทยด้วยกัน โปรดไปศึกษาสถานกาารณ์ปัจจุบันมาใหม่ก่อนจะแสดงความเห็นที่ทำให้ "ไทยกลายเป็นผู้ร้าย"
ที่แย่ก็คือ นอกจะด่าคนไทยด้วยกันแล้วว่าเป็นตัวร้าย ยังดันไปชื่นชมรัฐบาลกัมพูชาเสียอีกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระแสคลั่งชาติ และวาดภาพรัฐบาลกัมพูชาว่าเป็นผู้แสวงหาสันติภาพ
นี่คนไทยเขียนนะครับ ผมอ่านแล้วไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
รัฐบาลกัมพูชานั้นถึงจะจับคาหนังคาเขาไม่ได้ว่าอยู่เบื้องหลังการปลุกกระแสคลั่งชาติ แต่หลายครั้งแล้วที่มักจะใช้กระแสคลั่งชาติมาสร้างไทยเป็นศัตรูเพื่อหวังผลการเมืองภายใน
ยังไม่นับการผลิตเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ที่จอมปลอมเพื่อทำให้คนรักชาติแบบผิดฝาผิดตัว เช่น บอกว่า ฮุน เซน เป็น "สมเด็จกอน" (ขบถเขมรโบราณ) กลับชาติมาเกิดเพื่อกู้ชาติบ้านเมือง
อนุสาวรีย์เสด็จกอนที่มีอยู่ทั่วประเทศนั้น มีหน้าตาแบบ ฮุน เซน ดีๆ นี่เอง
และเรื่องเสด็จกอนนั้นมีนัยของ "คนเขมรต่อสู้กับไทยผู้รุกราน" และคนที่ทำเนื้อหาแบบนี้ขึ้นมาก็คือนักประวัติศาสตร์ในสังกัดของฮุน เซน
โกหกพกลมกันระดับรัฐบาลขนาดนี้ ยังจะให้ชื่นชมยังไงไหว?
การผลิตคอนเทนต์ที่ให้ไทยเป็นผู้ฉกชิงวัฒนธรรมเขมรไปโดยไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันเลยแม้แต่น้อย แต่การมุสาวาทาแบบนี้มีผลดีทางการเมืองเพราะ "ทำให้ประชาชนเกลียดคนข้างนอก แทนที่จะเพ่งเล็งรัฐบาลด้อยความสามารถ"
กัมพูชาใช้วิธีสกปรกแบบนี้กับไทยมาตั้งแต่สมัยนโรดม สีหนุ ผู้ที่หักหลังไทยอยู่ตลอด แต่พอมีเรื่องก็จะโร่มาขอความช่วยเหลือจากเรา
ยังมีอีกเยอะครับ จะให้ผมจาระไนก็ยังไหว แต่เอาแค่นี้ก่อนเพื่อให้คนที่ยังคิดว่าไทยเป็นคนเริ่มศึกนี้ได้ตาสว่างว่า "กัมพูชาคือปัญหา" ไม่ใช่ไทย
ส่วนรัฐบาลไทยกับกัมพูชาสนิทกันนั้นจะว่าดีก็ได้ แต่รัฐบาลไทยที่สนิทแบบนี้จะไม่ค่อยระวังตัว เพราะมองที่ "ผลประโยชน์ร่วมกัน" จนลืมไปว่าประเทศไหนๆ เขาก็รักผลประโยชน์ตัวเองทั้งนั้น
เหมือนคนไทยที่อยากจะมีวัฒนธรรมร่วมกับกัมพูชานั่นแหละครับ พวกเขมรขอมจะแย่งแผ่นดินไทยไปยังจะงมโข่งอยู่ได้
แบบนี้เป็น "คนดีแต่ด้อยสติปัญญา" มากกว่าเรื่องชาวนากับงูเห่าเสียอีก
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
photo (ภาพประกอบข่าว) - ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทักทายเด็กๆ ที่โบกธงชาติของทั้งสองประเทศในพิธีต้อนรับร่วมกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ปราโบโว ซูเบียนโต ที่พระราชวังเมอร์เดกา ในจาการ์ตา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 (ภาพถ่ายโดย BAY ISMOYO / AFP)