'จั้งหนาน'คืออะไร? ทำไมจีนถึงทำแบบนี้กับอินเดียทันทีที่หยุดยิงกับปากีสถาน?

'จั้งหนาน'คืออะไร? ทำไมจีนถึงทำแบบนี้กับอินเดียทันทีที่หยุดยิงกับปากีสถาน?

ในวันที่สองหลังจากมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียกับปากีสถาน กระทรวงกิจการพลเรือนของจีนได้ออกประกาศโดยเพิ่มชื่อสถานที่ 27 แห่งในภูมิภาค "จั้งหนาน" เป็นภาษาจีน ภาษาทิเบต และภาษาจีนอักษรพิอิน และประกาศอำนาจอธิปไตยเหนือภูมิภาคดังกล่าว

"จั้งหนาน" คือสถานที่ใด และส่งผลสะเทือนอะไรต่ออินเดีย?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่าซีจั้ง
ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้กำหนดชื่อใหม่ของ "ทิเบต" (Tibet) ให้เป็นชื่อ "ซีจั้ง" (Xizang) ซึ่งมาจากภาษาจีนว่า 西藏 อันเป็นชื่อทางการของทิเบตในภาษาจีน โดยคำว่า จั้ง (藏) หมายถึงทิเบตตอนกลางแต่ในภายหลังหมายถึงทิเบตทั้งหมด

คำว่า "ซีจั้ง" (西藏) ในภาษาจีนปรากฏครั้งแรกใน "บันทึกประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของราชวงศ์ชิง" 《清实录》 ในปีที่สองของรัชสมัยจักรพรรดิคังซี (ค.ศ. 1663) ก่อนหน้านั้น ชาวจีนสมัยราชวงศ์ชิงใช้คำเรียกทิเบตหลากหลายต่างๆ กันไป เช่น "ถู่ปัวเท่อ" (土伯特) ซึ่งคำๆ นี้เป็นที่มาของคำว่า "ทิเบต" 

แต่พื้นที่ดังกล่าวยังถูกเรียกแบบอื่นๆ อีกว่า "อูซือจั้ง" (乌斯藏 หรือ 乌思藏) โดยคำว่า "อู" หรือ "อือ" และคำว่า "จั้ง" หมายถึง "ชัง" อันเป็นพื้นที่ตอนกลางของทิเบต และต่อมาเป็นคำว่า "เว่ยจั้ง" (卫藏) ซึ่งหมายถึง อือและชังนั่นเอง

ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิงที่ปกครองโดยชาวแมนจู คำว่า "เว่ย" ในภาษาจีนนั้นพ้องเสียงกับในภาษาแมนจูคำว่า wargi ที่หมายถึงตะวันตก คำว่า "เว่ยจั้ง" จึงกลายเป็นคำว่า Wargi Dzang ในภาษาแมนจู และเมื่อแปลกลับเป็นภาษาจีนจึงได้เป็นคำว่า "จั้งตะวันตก" หรือ "ซีจั้ง" (西藏) 

ซีจั้งคือทิเบต จั้งหนานคือ?
ปัจจุบัน ซีจั้งหรือทิเบตหมายถึง "เขตปกครองตนเองทิเบต" หรือที่จีนเรียกว่า "ซีจั้งจื้อจื้อชวี" (西藏自治区) ทั้งหมด แต่ยังมีพื้นที่หนึ่งที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์ แต่อยู่ภายใต้การครอบครองโดยพฤตินัยโดยอินเดีย พื้นที่ดังกล่าวเรียกว่า "จั้งหนาน" (藏南地區)

"จั้งหนาน" ประกอบด้วยคำว่า "จั้ง" (藏) ที่หมายถึงทิเบตทั้งหมด และคำวว่า "หนาน" (南) ที่หมายถึงทิศใต้ ดังนั้นเขตนี้จึงแปลว่า "เขตทิเบตใต้" เป็นชื่อที่สาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งให้กับพื้นที่พิพาทระหว่างจีนกับอินเดียทางตอนใต้ของเส้นแบ่งแม็กมาฮอน (McMahon Line) จีนเชื่อว่าเป็นของทิเบต จึงเรียกพื้นที่นี้ว่า "จั้งหนาน" (ทิเบตใต้) 

พื้นที่พิพาทตั้งอยู่ในเชิงเขาหิมาลัยทางตอนใต้ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 90,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งอินเดียควบคุมพื้นที่ประมาณ 69,100 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดียเป็นส่วนใหญ่ โดยมีการกำหนด "เส้นควบคุมที่แท้จริง" ระหว่างอินเดียและจีนอันมีพื้นฐานมาจาก "เส้นแม็กมาฮอน" (McMahon Line) ที่ร่างขึ้นในการประชุมชิมลาของรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองอินเดียกับผู้ปกครองทิเบตในเวลานั้น 

แต่เวลานั้นทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ชิงที่ปกครองจีนทั้งหมด แล้วทำไมทิเบตถึงไปตกลงแบบนั้นได้?

จั้งหนานเป็นของใครกันแน่?
หลังจากจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชวงศ์ชิงมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ ในปี 1912 ทูตพิเศษของสาธารณรัฐจีนประจำชายแดนเสฉวน-ยูนนานมากำหนดเขตแดนใหม่ที่แม่น้ำยาปี้ชวีกง (压必曲龚 หรือ ยาปี้เหอ 压必河) ในเขตจั้งหนานในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าเป็นการตอกย้ำว่าจั้งหนานเป็นของจีน 

แต่แล้วในช่วงเวลาที่จีนยุคสาธารณรัฐเกิดความวุ่นวาย ทิเบตก็ฉวยโอกาส "เป็นเอกราช" และติดต่อกับจักรวรรดินิยมต่างชาติ โดยในปี 1913 ถึง 1914 ในการประชุมชิมลาที่เมืองชิมลา ประเทศอินเดีย ซึ่งวางแผนโดยสหราชอาณาจักรและมีตัวแทนจากจีน อังกฤษ และทิเบตเข้าร่วม ปรากฎว่าระหว่างการประชุม เฮนรี่ แม็กมาฮอน (Henry McMahon) รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษของรัฐบาลอินเดียในการปกครองของอังกฤษ และชาจา ปานเจ โดร์เจ (夏扎·班觉多吉) ตัวแทนจากทางการทิเบตได้แลกเปลี่ยนบันทึกอย่างลับๆ และเพิ่ม "เส้นแบ่งเขตแดนอินเดีย-ทิเบต" ที่อังกฤษและทิเบตวาดไว้บนแผนที่แลกเปลี่ยน พวกเขาลงนามสนธิสัญญาชิมลาและจัดตั้งเส้นแม็กมาฮอน เส้นนี้มอบพื้นที่กว่า 90,000 ตารางกิโลเมตรที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของทิเบตมาช้านานให้กับอินเดียในการปกครองของอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่เข้าร่วมการประชุมปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการและปฏิเสธที่จะรับรองสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากถูกคัดค้านจากรัฐบาลกลาง และการเจรจาก็ล้มเหลว ฝ่ายทิเบตยังไม่รับรองแนวแม็กมาฮอนและสนธิสัญญาดังกล่าวเนื่องจากฝ่ายอังกฤษไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับทิเบตตามที่สัญญาไว้ในสนธิสัญญา ต่อมารัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้ออกแถลงการณ์หลายครั้งโดยปฏิเสธที่จะรับรองสนธิสัญญาซิมลาและแนวแม็กมาฮอน

ในปี 1948 จีนกำลังวุ่นวายในช่วงกลางของสงครามกลางเมือง ในขณะที่อินเดียที่เพิ่งได้รับเอกราชเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะสืบทอดดินแดนของอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษหลังจากการแบ่งแยกดินแดน จึงเริ่มส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ "จั้งหนาน" จีนเชื่อว่าสนธิสัญญาชิมลาไม่มีผลทางกฎหมายและปฏิเสธที่จะรับรอง ในปี 1949 รัฐบาลสาธารณรัฐจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ และอพยพไปตั้งหลักที่ไต้หวันและตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย แต่ก็ยังออกมาประกาศต่อสาธารณะหลายครั้งว่า "ไม่เคยยอมรับและคัดค้านอย่างหนักแน่น" ต่อ "การยึดเอาแนวแม็กมาฮอนเป็นพรมแดนจีน-อินเดีย" 

การแย่งชิงระหว่างจีนกับอินเดีย
หลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ยังอ้างสิทธิเหนือจั้งหนานต่อไป และยังอ้างว่า "การวาดเส้นแบ่งเขตแดนจีน-อินเดียโดยอินเดียเป็นผลจากนโยบายการขยายตัวอย่างก้าวร้าวของอังกฤษในประวัติศาสตร์ยุคใหม่" ในขณะที่รัฐบาลอินเดียเรียกการวาดเส้นแบ่งเขตแดนจีน-อินเดียบนแผนที่ของจีนที่รวมจั้งหนานเป็นของตนว่า ว่าเป็น "การรุกรานทางแผนที่" นั่นคือ การใช้แผนที่เพื่อขยายอาณาเขตเพื่อขยายอาณาเขต  

ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1951 กองทัพอินเดียได้ยึดครองพื้นที่ทาวังตามการอ้างสิทธิ์ในดินแดนของอินเดียและขับไล่เจ้าหน้าที่ที่ประจำการชาวทิเบตออกไป ในปี 1954 รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งเขตพิเศษชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ดังกล่าวและแก้ไขแผนที่อย่างเป็นทางการ โดยเปลี่ยนเส้นแม็กมาฮอนจาก "พรมแดนที่ไม่มีขอบเขต" เดิมเป็น "พรมแดนที่มีขอบเขต" เป็นครั้งแรก ในปี 1960 กองทัพอินเดียสามารถควบคุมพื้นที่ทางใต้ของเส้นแม็กมาฮอนได้อย่างสมบูรณ์

แต่จีนก็ไม่นิ่งนอนใจ ได้ทำการส่งทหารเข้าแย่งชิงดินแดนดังกล่าวคืนมา ในสงครามชายแดนจีน-อินเดียตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 1962 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ยึดครองพื้นที่จั้งหนานเกือบทั้งหมด รวมถึงเมืองสำคัญๆ เช่น ทาวัง บอมดิลา เมชูกา และวานง และเข้าใกล้แนวชายแดนตามธรรมเนียมดั้งเดิม กองทัพปลดปล่อยประชาชนหวังว่าอินเดียจะยอมรับอำนาจอธิปไตยของจีนและดำเนินการเจรจาเรื่องพรมแดนกับจีน จีนไม่ต้องการยึดดินแดนที่เสียไปคืนด้วยกำลัง จึงเริ่มถอนทัพไปยังแนวแม็กมาฮอน ในปี 1964 กองทัพอินเดียได้ยึดครองพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งและเผชิญหน้ากับกองทัพปลดปล่อยประชาชนใกล้กับแนวแม็กมาฮอน

ในปี 1972 อินเดียได้เปลี่ยนเขตแดนพิเศษชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือเป็น "เขตปกครองกลางรัฐอรุณาจัลประเทศ" ในเดือนกุมภาพันธ์ 1987 อินเดียได้ประกาศจัดตั้ง "รัฐอรุณาจัลประเทศ" จีนได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ยอมรับ "แนวแม็กมาฮอนที่ผิดกฎหมาย" และเขตอรุณาจัลประเทศที่อินเดียกำหนดไว้ และเรียกร้องให้อินเดียถอนกำลังทหารทั้งหมดที่ข้ามแนวดังกล่าวออกไป

สถานการณ์ในปัจจุบันที่จั้งหนาน
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 สถานการณ์ชายแดนจีน-อินเดียมีแนวโน้มคลี่คลายลง และการเจรจาชายแดนจีน-อินเดียก็เข้าสู่เส้นทางปกติ ณ เดือนเมษายน 2007 จีนและอินเดียได้จัดการเจรจาตัวแทนพิเศษเกี่ยวกับปัญหาชายแดนมาแล้ว 10 รอบ จนถึงขณะนี้ ปัญหาจั้งหนานยังไม่ได้รับการแก้ไข ในแผนที่จีนที่พิมพ์ในจีนกำหนดให้จั้งหนานเป็นดินแดนของจีน แต่แผนที่ทั่วไปส่วนใหญ่ภายนอกจีนใช้เส้นแม็กมาฮอนเป็นส่วนตะวันออกของชายแดนจีน-อินเดียตามหลักการของหลักปฏิบัตินิยม

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม กระทรวงกิจการพลเรือนของจีนได้เผยแพร่ "ประกาศเกี่ยวกับการเสริมชื่อสถานที่สาธารณะที่ใช้กันในทิเบตตอนใต้ (ชุดที่ 5)" บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ โดยเปลี่ยนชื่อพื้นที่ 27 แห่งในจั้งหนาน (รัฐอรุณาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย) อย่างเป็นทางการ ประกาศดังกล่าวระบุชื่อภาษาจีน ชื่อภาษาทิเบต พินอินภาษาจีน รวมถึงหมวดหมู่ชื่อสถานที่ เขตการปกครอง ลองจิจูดและละติจูด และแผนที่ความละเอียดสูงของพื้นที่เหล่านี้ ประกาศดังกล่าวระบุว่า "ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการชื่อสถานที่ กระทรวงของเราได้ทำให้ชื่อสถานที่บางแห่งในทิเบตตอนใต้ในประเทศเราเป็นมาตรฐานร่วมกับแผนกที่เกี่ยวข้อง"

การเคลื่อนไหวของจีนครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงจากอินเดีย ในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียระบุว่า อินเดียสังเกตเห็นความพยายามของจีนที่จะเปลี่ยนชื่อสถานที่ของอรุณาจัลประเทศในอินเดียอย่างไร้สาระ และอินเดียจะปฏิเสธความพยายามดังกล่าวโดยเด็ดขาดโดยยึดตามจุดยืนที่เป็นหลักการของประเทศ กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเน้นย้ำว่าการตั้งชื่อที่สร้างสรรค์จะไม่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอรุณาจัลประเทศเคยเป็น ปัจจุบัน และจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของอินเดียต่อไป

กระนั้นก็ตาม สื่อจีนคือ เถิงซวิ่น (腾讯网) ได้แสดงทัศนะว่า "การ "กำหนดชื่อ" ไม่ใช่แค่การตั้งชื่อเท่านั้น แต่เป็นการประกาศความชอบธรรมและการควบคุมที่แท้จริง" และ "ในทางกฎหมาย จีนได้ชี้แจงขอบเขตอำนาจอธิปไตยของตนผ่านการประกาศชื่อสถานที่ ซึ่งวางรากฐานสำหรับการปรับเปลี่ยนการบริหารในอนาคตที่เป็นไปได้"

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

TAGS: #ทิเบต #ซีจั้ง #จีน #อินเดีย