ถ้าใครโตทันทศวรรษที่ 90 หรือเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วในช่วงทศวรรษ 2000 คงจะได้เห็นวันที่ประเทศไทยเคยถูกสหรัฐอเมริกากับพวกชาติตะวันตก ประณามเรื่องสิทธิมนุษยชนว่า "ตกต่ำ" และ "ประชาธิปไตยไม่เต็มใบ" อยู่บ่อยๆ
แต่ละครั้งพวกสื่อ นักวิชาการ และนักการเมืองบางกลุ่มก็จะพากันขวัญเสีย เพราะเราไม่สามารถทำตัวให้เพอร์เฟกต์เหมือน "นานาอารยประเทศ" เขาได้ จากนั้นเราก็จะขยี้กันเองให้ "แก้ไขตัวเอง" ให้ตรงกับที่ "อารยประเทศ" คาดหวังไว้
แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะารู้ตัวว่าคำว่า "สิทธิมนุษยชน" กับ "ประชาธิปไตย" ไปจนถึง "ตลาดเสรี" ถูกใช้เป็นเครื่องมือของตะวันตกเพื่อเอาเปรียบเรา
เพราะแม้แต่พวกตะวันตกเองก็ทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างเรื่องสิทธิมนุษยชนก็ไม่ได้
มาถึงวันนี้ เราเข้าถึงข้อมูลมากมายที่เผยให้เห็นถึงความ "อิมเพอร์เฟกต์" ของชาติตะวันตก แม้แต่เรื่องเบสิคๆ อย่างสิทธิมนุษยชนกับประชาธิปไตย ลูกพี่ก็ยังทำให้เป็นตัวอย่างไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วจะมาสั่งสอนใครได้ แล้วคนไทยจะกลัวไปทำไม?
โดยเฉพาะช่วงนี้ พวกสื่อ นักวิชาการ และนักการเมืองบางกลุ่ม หวาดผวากันเกินเหตุ พอเห็นตะวันตกประณามไทยเรื่องสิทธิมนุษยชนกับเสรีภาพ "ตกต่ำลง" ซึ่งแท้จริงแล้วมันต่ำลงจริงหรือไม่ หรือว่าพวกนั้นเลื่อนขึ้นเลื่อนลงกันเอาเองตามใจ โดยวัดจากความ "เชื่อง" ของไทยต่อตะวันตก ไม่ได้วัดจากความเอาใจใส่มนุษยชาติอะไรหรอก
การที่คนไทยยัง "ซัดส่าย" ไปตามการบงการของตะวันตก่ที่ใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ จึงแสดงถึงความไม่เจริญก้าวหน้าไปจากทศวรรษที่ก่อนๆ เพราะตอนนี้ควรจะตาสว่างได้แล้วว่า "ค่านิยมมันเป็นมายา" และ "เงินตราเท่านั้นที่จริง"
หากคนไทยยังไหวไปไหวมากับเรื่องนี้ไม่ผิดจากหลายสิบปีก่อน นั่นหมายความว่าเรายังย่ำอยู่กับที่ และยังถูกเวียดนามแซงไปเสียอีก เพราะเมื่อเวียดนามถูกโจมตีเรื่องสิทธิมนุษยชน เวียดนามก็จะสวนกลับในทันที
แต่ก็ไม่เห็นพวกตะวันตกจะบดขยี้เวียดนาม ตรงกันข้ามพวกตะวันตกต่างแห่กันมาลงทุน มาคบหาทางการทูต และ "จีบ" เวียดนามกันไม่หยุด นั่นแสดงว่าการโจมตีด้วย "ค่านิยมตะวันตก" เป็นของปลอม ของจริงพวกตะวันตกต้องการผลประโยชน์มากกว่า
ตัวอย่างเช่น Freedom House องค์กรที่รับเงินจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และจัดอันดับเสรีภาพให้กับประเทศต่างๆ ตามใจชอบ มักจะกล่าวหาเวียดนามว่าไม่มีเสรีภาพต่างๆ นานา ทั้งทางการเมืองและทางอินเทอร์เน็ต
แต่เวียดนามใช้สื่อของรัฐสวนกลับว่า "เป็นเรื่องเท็จ" พร้อมกับนำเสนอ "ความจริง" ที่เวียดนามกำลังเป็นไป
จะจริงจะเท็จก็อีกเรื่อง แต่นี่เป็นความองอาจทางการเมืองที่ไทยควรเลียนแบบ ไม่ใช่เอาแต่ตกอกตกใจเพราะทำไม่ได้ตามเป้าที่คนอื่นกำหนดให้แล้วก็มาขยี้กันเอง แสดงถึงความแตกแยกที่คนนอกเห็นกันเต็มๆ แต่เวียดนามแสดงให้เห็นถึงเอกภาพชัดๆ
ตัวอย่างเดียวกัน Freedom House ลดอันดับเสรีภาพของไทยทั้งสองด้านลงมาที่สถานะ Not free เหมือนกับเวียดนาม
ถ้าใช้สายตาอันเป็นธรรมมองดีๆ ก็จะรู้ว่าเวียดนามกับไทยเสรีภาพต่างกันราวฟ้ากับเหว เอาแค่คนไทยด่ารัฐบาลแบบรายวันก็ยังไม่ต้องกลัวจะถูกอุ้มหาย แต่เวียดนามนั้นต่อให้วิจารณ์รัฐบาลดีๆ ก็ยังอยู่ลำบาก
แม้การจัดอันดับโดย Freedom House มันจะเป็นปัญหาขนาดนี้แล้ว ไทยก็ยังไม่กล้าต่อว่า สื่อบางแห่งยังผลิตซ้ำรายงานนี้โดยไม่ตั้งคำถามด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการทำงานแบบสนอง "อารยประเทศ (จอมปลอม)" แบบเมื่อทศวรรษก่อนๆ โดยไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
คนประเทศไทยควรจะเรียนรู้ "แง่มุมการอธิบาย" (Narrative) ประเด็นต่างๆ ในเรื่องกิจการระหว่างประเทศให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ยึดกับ Narrative ของโลกตะวันตกเพียงแง่มุมเดียว
เช่นประเด็นสิทธิมนุษยชน จีนก็มี Narrative ของจีนที่เอาไว้เถียงกับตะวันตก เช่น จางเหวยเว่ย (张维为) ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยฟู่ตั้นของจีนซึ่งมีชื่อเสียงในการอธิบายสิทธิมนุษยชนในแง่มุมของจีน กล่าวไว้ว่า
"แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกาและตะวันตกมักเน้นย้ำถึงสิทธิพลเมืองและการเมืองเพียงด้านเดียว โดยละเลยสิทธิในการอยู่รอด การพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหลักที่เข้าร่วมอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศน้อยที่สุดในโลก และไม่ได้เข้าร่วมอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลัก 6 ฉบับจากทั้งหมด 9 ฉบับ ตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาและตะวันตกมีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนมากมาย ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาที่มีประชากรมากกว่า 300 ล้านคน มีผู้คนมากกว่า 30 ล้านคนที่ไม่มีประกันสุขภาพ จนถึงขณะนี้ แทบไม่มีประเทศตะวันตกใดบรรลุความเท่าเทียมกันของค่าจ้างสำหรับงานที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศของสหประชาชาติ"
เอาแค่นี้ก็จะเห็นว่า สหรัฐฯ ที่เอา "สิทธิมนุษยชน" ไปสั่งสอนคนอื่น (โดยมีวาระซ่อนเร้น) ที่แท้ก็ไม่มีสิทธิมนุษยชนเอาเลยในแง่พื้นฐานชีวิตประชาชนของตัวเอง แถมในแง่ระหว่างประเทศก็ยังไม่สนใจร่วมมือกับการวางหลักสิทธิฯ อันเป็นสากลอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประชาธิปไตยในอเมริกา ซึ่งผู้คนได้แต่โอดครวญว่า "ตายไปแล้ว" แลเอาเข้าจริงประชาธิปไตยในประเทศนี้ "ซื้อได้" ด้วยระบบล็อบบี้ยิสต์ ซึ่งเป็นการซื้อเสียงที่ถูกกฎหมายและเป็นอันตรายต่อระบบยิ่งกว่าเพราะรับใช้นายทุนไม่กี่คน
ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ก็ไม่เคยเป็นมาตรฐานให้ชาวโลกได้เลย เพราะมันไม่ได้เห็นคุณค่าของมนุษย์จริงๆ ที่ประเทศไทยและ "ประเทศที่อ่อนแอ" ต้องคล้อยตามเพียงเพราะประเทศเหล่านี้ขาดความภาคภูมิใจในตนเองและเกรงกลัวจนเกินไป
ทุกวันนี้มีประเทศเห็นธาตุแท้ของสหรัฐฯ แล้วจึงไม่ยอมศิโรราบอีกต่อไป
แม้แต่ประเทศตะวันตกด้วยกันยังเอือมระอากับความจอมปลอม อย่างเช่นการที่สมาชิกรัฐสภายุโรปชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งเรียกร้องให้สหรัฐฯ ส่งคืนเทพีเสรีภาพที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้เพื่อเฉลิมฉลองเอกราชของอเมริกาในวาระครบรอบ 100 ปี เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นตัวแทนของ "คุณค่า" ดังกล่าวอีกต่อไป
ปรากฎว่า แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวในการแถลงข่าวตอบโต้ว่า “ไม่ (คืนให้) แน่นอน” และยังดูพูดจาถูกอีกว่า "นักการเมืองฝรั่งเศสระดับล่าง" คนนี้ไม่รู้ซะแล้วว่า "เพราะสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสไม่ต้องพูดภาษาเยอรมันในตอนนี้”
หมายความว่าเพราะได้สหรัฐฯ ช่วยตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรอก ฝรั่งเศสที่ถูกพวกนาซียึดครองจึงได้รับการปลดปล่อยไม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี
นอกจากจะไม่สนใจเนื้อหาสาระเรื่องความถดถอยในประเทศตัวเองแล้ว แม้แต่คำพูดลำเลิกบุญคุณของโฆษกทำเนียบขาวก็ยังอ่อนด้อยการศึกษา เพราะไม่ใช่สหรัฐฯ ประเทศเดียวที่เสียสละเพื่อปลดปล่อยยุโรป
สหภาพโซเวียตต่างหากที่สูญเสียไปมากที่สุด และเป็นผู้บดขยี้เบอร์ลินจนฮิตเลอร์ต้องฆ่าตัวตาย นำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฝั่งยุโรปอย่างแท้จริง
กรณีพวกนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเชื่อถืออะไรไม่ได้แล้วในเวลานี้
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Michael M. Santiago / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP