พระเจ้าชาร์ลส์สที่3 จะทรงสละราชสมบัติแต่เนิ่นๆ หรือไม่?

พระเจ้าชาร์ลส์สที่3 จะทรงสละราชสมบัติแต่เนิ่นๆ หรือไม่?

หมายเหตุ  - บทความนี้เผยแพร่ก่อนที่พระเจ้าชาร์ลสที่ 3 จะทรงได้รับการวินิจฉัยว่าทรงมีอาการมะเร็ง แต่เผยแพร่ในช่วงที่องค์พระประมุขของเดนมาร์กสละราชสมบัติ คือ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กและเวนราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรส คือ เฟรเดอริก เทำให้เกิดประเด็นวิเคราะห์ว่าองค์พระประมุขขององค์อังกฤษจะทรงทำแบบเดียวกันหรือไม่ 

การสละราชสมบัติอย่างเหนือความคาดหมายของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ก่อให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งอังกฤษ ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากบางกลุ่มให้ปฏิบัติตามแบบอย่างของราชวงศ์เดนมาร์กจากดินแดนสแกนดิเนเวีย

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 พระชนมายุ 83 พรรษา ทรงเวนราชบัลลังก์ให้กับพระราชโอรส คือ เฟรเดอริก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม หลังจากครองราชย์มา 52 ปี กลายเป็นองค์พระประมุขของยุโรปองค์ล่าสุดที่ก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อสนับสนุนผู้สืบทอดที่อายุน้อยกว่า

สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน สละราชสมบัติในปี 2557 ขณะที่สมเด็จพระราชินีเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ และสมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียมต่างสละราชบัลลังก์ในปี 2556

พระเจ้าชาร์ลส์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เมื่อพระชนมายุ 73 พรรษา หลังจากการสวรรคตของพระมารดาของพระองค์ คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐอีก 14 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขนบการมีองค์ประมุขร่วมกันของอดีตอาณานิคมของอังกฤษ

พระองค์เป็นรัชทายาทที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ และตอนนี้พระชนมายุ 75 พรรษา ด้วยพระชยมายุของพระองค์ ทำให้เกิดคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าพระองค์จะทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้นานแค่ไหน

รัชทายาทของพระองค์ ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่า คือ เจ้าชายวิลเลียม จะมีพระชนมายุ 42 พรรรษาในเดือนมิถุนายนปีนี้

หนังสือพิมพ์ The Guardian เรียกการสละราชบัลลังก์ของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ว่า "สัญญาณของระบอบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญที่สมเหตุสมผล"

“พระองค์ (พระเจ้าชาร์ลส์) มีสิทธิที่จะครองราชย์เป็นระยะเวลานานระดับหนึ่งอย่างแน่นอนหลังจากรอคอยมายาวนาน แต่ไม่ (ควร) ถึงเวลาสวรรคต” The Guardian กล่าว

หนังสือพิมพ์ The Guardian ระบุว่า การสละราชสมบัติ บ่งชี้ว่าประเทศสามารถรักษาสถาบันของตนให้ "เหมาะสมกับวัตถุประสงค์" ได้

ทำตามวาระของพระองค์
ฟิล แดมเปียร์ ผู้เขียนชีวประวัติของราชวงศ์อังกฤษเชื่อว่าพระเจ้าชาร์ลส์จะได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ต่างๆ ในเดนมาร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการปกป้องอนาคตของสถาบันกษัตริย์

“มันคงทำให้คุณสงสัยว่าในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าพระเจ้าชาร์ลส์อาจคิดจะทำแบบเดียวกันถ้าสุขภาพของพระองค์แย่ลงหรือพระองค์แค่คิดว่ามันเป็นเวลาที่ดีที่จะส่งต่อให้วิลเลียมและเคท (พระชายา) ในขณะที่พวกเขายังคงอยู่ ยังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่” เขาบอกกับหนังสือพิมพ์ Daily Mail ของอังกฤษ

ผู้สังเกตการณ์ในราชวงศ์กล่าวว่าเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าชาร์ลส์อาจต้องการอยู่บนบัลลังก์อีกต่อไปก็คือความกระตือรือร้นที่จะดำเนินตามวาระด้านสิ่งแวดล้อมของพระองค์

กษัตริย์อังกฤษส่วนใหญ่เป็นประมุชที่มีบทบาทสำคัญในพิธีการ และสาธารณชนไม่คาดหวังที่จะเห็นสถาบันเข้ามาแทรกแซงเรื่องการเมือง

พระมหากษัตริย์ยังคงรักษาอำนาจตามรัฐธรรมนูญบางประการ เช่น การแต่งตั้งรัฐบาล การเปิดและยุบรัฐสภา และการใลงพระปรมาภิไธยกฎหมายใหม่

แต่พระมหากษัตริย์อังกฤษอยู่ในฐานะที่จะมีอิทธิพลต่อผู้นำโลกได้

ก่อนการขึ้นครองราชย์ พระเจ้าชาร์ลส์ถูกกล่าวหาว่าใช้ตำแหน่งของพระองค์ในการล็อบบี้รัฐมนตรีของรัฐบาลในทุกเรื่อง ตั้งแต่การแพทย์ทางเลือก ไปจนถึงการรณรงค์เกี่ยวกับฆ่าตัวแบดเจอร์ และเรื่องเฮลิคอปเตอร์ในสงครามอิรัก

เอ็ด โอเวนส์ นักประวัติศาสตร์ในราชวงศ์กล่าวว่า พระเจ้าชาร์ลส์ ซึ่งต่างจากพระราชมารดาของพระองค์ ดูเหมือนจะมองว่าพระองค์เองมีรูปแบบที่ "มีพลวัต" มากกว่า โดยพระองค์จะ "เกลี้ยกล่อม" ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงและประมุขแห่งรัฐคนอื่นๆ ให้ลงมือปฏิบัติ

“เท่าที่เรารู้ พระองค์อยู่ในวัย 70 กลางๆ แต่ก็ยังค่อนข้างแข็งแรง มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เท่าที่เราทราบ และผมคิดว่าพระองค์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องผลักดันแผนงานของพระองค์ในช่วงปีแรกๆ ของการครองราชย์ของพระองค์” เขากล่าวกับสำนักข่าว AFP

เรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์
นอกเหนือจากคำถามเกี่ยวกับอายุของพระองค์แล้ว พระเจ้าชาร์ลส์ยังถูกจับตาอย่างหนักเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเจ้าชายแอนดรูว์ พระอนุชาชายของพระองค์ที่ไปเกี่ยวพันกับกรณ๊อื้อฉาวเกียวกับเรื่องทางเพศของผู้เยาว์

เจ้าชายแอนดรูว์ถูกกีดกันนับตั้งแต่ปกป้องมิตรภาพของเขากับเจฟฟรีย์ เอปสเตน ผู้กระทำความผิดทางเพศในสหรัฐฯ ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด และตกลงไกล่เกลี่ยการเรียกร้องทางแพ่งของสหรัฐฯ ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ยอมรับผิด

นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่เนืองๆ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าชาร์ลสจะจัดการอย่างไรกับพระโอรสอีกพระองค์ คือ เจ้าชายแฮร์รี่ ที่วิจารณ์ราชวงศ์ต่อสาธารณะเกี่ยวกับราชวงศ์ หลังจากที่เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนพระชายา ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

ผลสำรวจของ Savanta ในเดือนมกราคมชี้ให้เห็นว่าการสนับสนุนในสหราชอาณาจักรในการมีราชวงศ์ลดลงเหลือ 48% ในเดือนมกราคม ปีนี้ จาก 52% ในเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว

กลุ่มกดดันทางการเมือง Republic (สาธารณรัฐ) ซึ่งรณรงค์หาเสียงให้อังกฤษมีประมุขแห่งรัฐที่มาจากเลือกตั้ง ระบุว่า เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความนิยมของกษัตริย์ผู้ซึ่ง "ต้องรับผิดชอบในท้ายที่สุด" ต่อราชวงศ์

“เห็นได้ชัดว่าแอนดรูว์สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ชาร์ลส์คือผู้ที่รับผิดชอบ” เกรแฮม สมิธ ผู้บริหารระดับสูงของ Republic กล่าว

สมิธ กล่าวว่าสถาบันกษัตริย์ "อยู่เกินเวลาแล้ว"

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจโดย YouGov ในเดือนกันยายน ระบุว่า 55% ของชาวอังกฤษมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อประมุขแห่งรัฐคนใหม่ เทียบกับ 44% ในช่วง 12 เดือนก่อนหน้านี้

โอเวนส์เชื่อว่ามี "ความเป็นไปได้สูง" ที่พระเจ้าชาร์ลส์ซึ่งพยายามทำให้ปรากฏต่อสาธารณะมากขึ้น จะครองราชย์ไปจนกว่าเขาจะสวรรคต เช่นเดียวกับพระราชมารดาของพระองค์ที่มองว่าการเป็นราชินีนั้นเป็นหน้าที่ตลอดชีวิต

แต่เขากล่าวว่าพระมหากษัตริย์คงจะทรงมีความหลักแหลมพอที่จะกำหนดจุดสิ้นสุดที่ชัดเจนสำหรับการครองราชย์ของพระองค์

“ผมไม่คิดว่าการสละราชสมบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” โอเวนส์กล่าว

“แม้ว่าในระยะยาว มันจะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่จะพยายามนำสายเลือดที่หนุ่มกว่าเข้ามาเหมือนกับที่ราชวงศ์ยุโรปหลายๆ ราชวงศ์ทำกัน”


Text - Agence France-Presse
Photo by Daniel LEAL / AFP