นักรบชาวเอเชียในกองทัพอิสราเอลคือใคร? พวกเขาคือคนไทยหรือไม่?
มีข่าวลือมาสักพักแล้วเรื่องคนไทยไปเป็นทหารรับจ้างในอิสราเอล รวมถึงขาวลือเรื่องคนงานไทยในอิสราเอลอำพรางตัวเองเป็นทหารรับจ้างเพื่อช่วยอิสราเอลรบ
แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยปฏิเสธตั้งแต่ช่วงตนเดือนพฤศจิกายนแล้วว่า “ไม่ใช่คนงานไทยที่ปลอมตัวเป็นทหารรับจ้างเพื่อสู้รบเพื่ออิสราเอลดังที่ถูกกล่าวอ้าง กระทรวงการต่างประเทศจึงขอความร่วมมือไม่เผยแพร่ข่าวปลอมหรือข่าวที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ”
จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ข่าวลือทำนองนี้ก็ยังไม่หมดไป ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งแพร่ข่าวลือว่ามีคนไทยไปเป็นทหารรับจ้างในอิสราเอล พร้อมกับโพสต์ภาพบุคคลที่มีหน้าตาเป็นชาวเอเชียตะวันออกหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเครื่องแบบทหารอิสราเอล
แต่พวกเขาเป็นคนไทยจริงหรือ? ความจริงเรื่องหนึ่งที่คนทั่วไปไมทราบกันก็คือ ในกองทัพอิสราเอลมีทหารที่หน้าตาเป็นคนชาวเอเชียตะวันออกหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยุ่จำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่ใช่ทหารรับจ้าง แต่เป็นทหารประจำการในกองทัพและเป็นพลเมืองอิสราเอลเต็มขั้น และพวกเขายังเป็นชาวยิวด้วย มันเป็นไปได้อย่างไร้ที่จะมีคนยิวหน้าตาเหมือนคนไทยหรือคนอาเซียนขนาดนั้น?
ชาวยิวหน้าตาเหมือนคนไทยเป็นไปได้หรือ?
แต่มันเป็นไปแล้ว ทหารหน้าตาเอเชียเหล่านั้น คือพลเมืองอิสราเอลและชาวยิวกลุ่มที่เรียกว่า "บเน มะนาชเฮ" (Bnei Menashhe) เป็นชาวยิวอินเดียจากกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต-พม่าต่างๆ จากชายแดนของอินเดียและพม่าที่อ้างว่า สืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในชนเผ่าที่สูญหายของอิสราเอล บางคนรับนับถือศาสนายิว ชุมชนมีสมาชิกประมาณ 10,000 คน บางส่วนอพยพ "กลับไป" อิสราเอล หรือกลายเป็นพลเมืองอิสราเอล
กลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต-พม่าเหล่านี้หน้าตาเหมือนคนไทยมาก ที่จริงแล้วก็คือคนกลุ่มหนึ่งในหลายกลุ่มของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นชาวพม่า ชาวกระเหรี่ยง หรือชิน ชาวคะฉิ่น เป็นต้น
แล้วทำไมกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต-พม่าที่อยู่แถบใกล้ๆ เมืองไทยถึงไปนับญาติกับชาวยิวซึ่งมีที่มาจากตะวันอกอกลางและในยุโรปได้? นั่นก็เพราะความเชื่อในหมู่คนยิวเรื่อง "สิบเผ่ายิวที่สาบสูญ" ซึ่งกระจัดกระจายจากแผ่นดินอิสราเอลโบราณเมื่อประมาณปี 721 ก่อนคริสตศักราช หลังจากที่ชาวอัสซีเรียบุกอาณาจักรยิวทางตอนเหนือ เนรเทศชนเผ่าชั้นนำประมาณ 20% ของชนเผ่าสิบเผ่าที่อาศัยอยู่ที่นั่น และจากนั้นจับชาวยิวทั้งสิบเผ่าเป็นทาสอยู่ในอัสซีเรีย (อิรักในปัจจุบัน)
ต่อมาเมื่ออัสซีเรียล่มสลาย ชาวยิวทั้งสิบเผ่าก็กระจัดกระตจายไปไม่รู้ที่มาว่าอยู่แห่งหนไหนกันบ้าง กลายเป็นตำนาน "สิบเผ่ายิวที่สาบสูญ" (Ten Lost Tribes) แต่เมื่อถึงยุคสมัยใหม่ มีความพยายามจากทั้งคนยิวและไม่ใช่คนยิวที่จะติดตามหา "สิบเผ่ายิวที่สาบสูญ" จนพบเบาะแสกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับบรรพบุรุษที่มีเนือ้หาคล้ายกับเรื่องราวของชาวยิวและอาจมีประเพณีที่คล้ายชาวยิว เช่น ชาวปาทานในอัฟกานิสถานและปากีสถาน ชาวเบตัลอิสราเอลในเอธิโอเปีย ชาวยิวอิกโบในไนจีเรีย เป็นต้น ทำให้การค้นหา "สิบเผ่ายิวที่สาบสูญ" พบว่าชาวยิวที่สูญหายไปนั้นได้ผสมผสานกับคนท้องถิ่นที่พวกเขาอพพยไป และมีรูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากชาวยิวส่วนใหญ่ เช่น มีหน้าตาเหมือนคนเอเชียใต้ หน้าตาครึ่งผิวดำครึ่งอาหรับเหมือนคนเอธิโอเปีย หรือหน้าตาเหมือนคนผิวดำในแอฟริกาตะวันออก
แต่มียิวที่สาบสูญกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาเหมือนคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือ "บเน เบนาชเฮ" คนกลุ่มนี้ ชาวโซ (Zo people) พูดภาษากูกิ-ชิน ( Kuki-Chin languages ) ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ของอินเดีย เมียนมาร์ และบริเวณเนินเขาจิตตะกองของบังคลาเทศ คนกลุ่มนี้บางครั้งเรียกว่าชาวชิน (เช่นในเมียนมา) ชาวนากา (ในอินเดียและเมียนมา) และชาวมิโซ (ในอินเดีย) โดยเฉพาะในอินเดียและเมียนมา คนกลุ่มนี้มีรัฐของตอง คือรัฐชินในเมียนมา และรัฐมิโซรัม ในอินเดีย
แต่เดิมคนกลุ่มนี้นับถือผีและนิยมล่าหัวมนุษย์ ต่อมามีหมอสอนศาสนาเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในช่วงที่อินเดียและเมียนมาเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้คนกลุ่มนี้กลายเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัด
แต่มีชาวโซกลุ่มหนึ่ง ชื่อ ชาวฮมาร์ (Hmar) มีตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของเขาคือ มันมาซี (Manmasi) จึงมีการประติดประต่อกันว่ามันมาซีในตำนานก็คือ มะนัสเซห์ (Menasseh) ชาวฮีบรูโบราณ ซึ่งเป็นบุตรชายของโยเซฟบุตรยาโคบ ยาโคบเป็นบุตรคนที่สองของอิสอัค และอิสอัคเป็นบุตรคนที่สองของอับราฮัม ทั้งหมดนี้คือบุคลสำคัญในพระคัมภีร์ของศาสนายิวและศาสนาคริสต์ และเป็นบรรพบุรุษของคนยิว
จากความเชื่อนี้เอง ในช่วงทศวรรษ 1950 ชาวโซกลุ่มนี้จึงก่อตั้งขบวนการรื้อฟื้นความเป็นยิว เช่นรับเอาวันสะบาโตของชาวยิวมาปฏิบัติ (คือวันหยุดไม่ทำงานตามศาสนา) มีการเฉลิมฉลองวันหยุด การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการบริโภคอาหาร ตลอดจนประเพณีและประเพณีอื่นๆ ของชาวยิว ธรรมเนียมเหล่านี้ไม่ได้สืบทอดมาจากบรรบุุรษ แต่พวกเขาเรียนรู้มาเองจากหนังสือที่เผยแพร่ในช่วงต้นทศวรรษ 1960
พวกเขาจริงจังกับการนับถือศาสนายิวและการทำตัวเป็นคนยิวอย่างมาก หลังจากที่คนเหล่านี้ได้ติดต่อกับกลุ่มศาสนายิวอื่นๆ ในอิสราเอลและประเทศอื่นๆ พวกเขาก็เริ่มนับถือศาสนายิวแบบที่ถูกต้องมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 โดยมี รับบี เอลิยาฮู อาวิชาอิล (Rabbi Eliyahu Avichail) ศาสนาจารย์ชาวยิว ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Amishav เป็นองค์กรที่ค้นหาชนเผ่าที่สูญหายและอำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา มาตรวจสอบคำกล่าวอ้างของกลุ่มชาวโซ หลังจากตรวจสอบแล้วก็ยอมรับว่าเป็นชาวยิว และตั้งชื่อกลุ่มนี้ว่า "บเน มะนาชเฮ" (Bnei Menashe) ที่แปลว่า "ลูกหลานของมะนัสเซห์"
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2548 มีรายงานว่าหนึ่งในหัวหน้าศาสนาจารย์นิกายหลักในอิสราเอลได้ยอมรับ "บเน มะนาชเฮ" อย่างเป็นทางการในฐานะทายาทของหนึ่งในชนเผ่าที่สาบสูญ เปิดทางให้ "บเน มะนาชเฮ" สามารถได้รับสัญชาติอิสราเอลและอพยพไปพำนักยังอิสราเอลได้ในฐานะชาวยิวอย่างเต็มตัว
ในเดือนพฤษภาคม หนังสือพิมพ์ Jerusalem Post รายงานว่า “มีชาว บเน มะนาชเฮ เหลืออยู่ประมาณ 5,000 คนในอินเดียที่ขออพยพไปยังอิสราเอลเป็นเวลาหลายปี”
ชาวยิวหน้าอาเซียนเหล่านี้รบด้วยหรือไม่?
ภายในปี 2549 "บเน มะนาชเฮ" ประมาณ 1,700 คนได้ย้ายไปอิสราเอล แล้วตั้งรกรากอยู่ในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา (ก่อนที่อิสราเอลจะถอนตัวออกมา) ผู้อพยพเหล่านี้ถูกจัดให้อยู่ในเขตการถิ่นฐานชาวยิวที่ทับซ้อนกับปาเลสไตน์ เนื่องจากค่าที่พักและค่าครองชีพถูกกว่าพื้นที่อื่นๆ ทำให้ "บเน มะนาชเฮ" เป็นประชากรยิวอพยพที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซาก่อนที่อิสราเอลจะถอนผู้ตั้งถิ่นฐานออกจากพื้นที่
ในฐานะที่เป็นพลเมืองอิสราเอล และพลเมืองอิสราเอลที่มีคุณสมบัติครบทั้งชายและหญิงจะต้องรับราชการทหาร ชาวยิว "บเน มะนาชเฮ" ก็ต้องเป็นทหารเช่นกัน
มีรายงานว่า ชาวยิว "บเน มะนาชเฮ" ได้เข้าร่วมกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประจำการหรือสำรองในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสปาเลสไตน์ นับตั้งแต่การสังหารหมู่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 โดยพวกเขาถูกเรียกให้เข้าปฏิบัติหน้าที่ทางทหารหรือสำรองหรืออาสา
จากข้อมูลขององค์กร Shavei Israel ซึ่งเป็นองค์การประสานงานกับชาวยิวทั่วโลก พบว่า 99% ของผู้ชายวัยทหารทั้งหมดที่อพยพมาจากอินเดียเข้าร่วมกับอิสราเอลในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายฮามาส ในขณะที่ 90% ของผู้หญิงลงทะเบียนเข้ารับราชการทหารเช่นกัน
หนังสือพิมพ์ Jerusalem Post รายงานว่านับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้น องค์กร Shavei Israel ได้รับคำขอหลายร้อยคำขอจากสมาชิกชุมชนรุ่นใหม่ของ "บเน มะนาชเฮ" เพื่อที่จะอพยพไปยังอิสราเอล โดยพวกเขายังขอเข้าร่วม IDF ทันทีด้วยเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องของพวกเขา
จากรายงานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน Shavei Israel ยังเผยว่า สมาชิกกว่า 200 คนในชุมชน "บเน มะนาชเฮ" อพยพมายังอิสราเอลตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และขอเข้าร่วมการปฏิบัติหน้าที่สำรองหรือปฏิบัติหน้าที่รบประจำการ ในจำนวนนั้น มี 75 คนได้เข้าร่วมหน่วยรบแล้ว ขณะที่ 140 คนถูกเรียกเข้าประจำการกองกำลังสำรองทั่วอิสราเอล
รายงานพิเศษจากทีมข่าว The Better
ภาพจาก Shavei Israel