ถึงเวลาไทยต้องทำ 'สงครามทางวัฒนธรรม' กับกัมพูชาเพื่อปกป้องมรดกของชาติเรา

ถึงเวลาไทยต้องทำ 'สงครามทางวัฒนธรรม' กับกัมพูชาเพื่อปกป้องมรดกของชาติเรา

ณ เวลานี้ ประเทศไทยต้องเตรียมตัวกับ 'สงครามทางวัฒนธรรม' กับกัมพูชา อันเป็นสงครามที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ก็จำเป็นพอๆ กับ 'สงครามในรูปแบบ' หรือสงครามที่ใช้ทหารรบกัน 

เพราะอะไร? เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กัมพูชาทำ 'สงครามกองโจร' ทางวัฒนธรรมกับไทย ด้วยการแย่งชิงศิลปวัฒนธรรมของไทยแล้วไปโมเมว่าเป็นของตัวเอง ตั้งแต่นาฏศิลป์ อาหารไทย ชุดไทย ฯลฯ 

กัมพูชานั้นเป็นประเทศที่เป็นเงาของไทยมาตั้งแต่ยุคสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ เราจะเห็นได้จากสโลแกนของประเทศไทย คือ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" กัมพูชาก็รับเอาไปใช้ทั้งดุ้นโดยไม่ให้เครดิตในหลวงรัชกาลที่ 6 เอาเสียเลย โดยผู้ที่เอาไปให้เขมรใช้ก็คือพระสงฆ์เขมรที่มาเรียนที่บางกอกในรัชกาลนั้นนั่นเอง

นี่คือตัวอย่างเดียวของการเป็น 'เงาของไทย' ของกัมพูชา ที่ตามไทยทุกก้าว แต่ไม่เคยบอกว่าลอกไทยมา 

ที่ชั่วร้ายกว่านั้น ไม่เพียงลอกไทยมา ยังบอกว่า "ศิลปวัฒนธรรมของไทยนั้นเป็นของเขมรแต่เดิมมา ไทยเป็นเพียงผู้รักษาไว้ เขมรจะลอกกลับมาก็ไม่ผิดอะไร"

มันจะเป็นของเขมรแต่เดิมได้อย่างไร เพราะเขมรเดิมไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ ไม่ได้กินแบบนี้ ไม่ได้สละสลวยนวยนาดแบบนี้ ไม่เชื่อก็ดูกำแพงเมืองพระนครวัดของตัวเองก็ได้

ความคิดแบบนี้ไม่มีอะไรยืนยันแม้แต่น้อย เป็นการมโนขึ้นมาเองในช่วงกัมพูชากำลังสร้างรัฐชาติสมัยใหม่และตั้งตัวหลังได้เอกราช พวกนี้จึงหา 'รากเหง้า' แล้วก็มาคว้าเอาของไทยไปทั้งดุ้น จากนั้นก็เขียนประวัติศาสตร์ใหม่เป็นนิยายตุๆ ตะๆ บอกว่ามันเป็นของเรา

ความจริงก็คือ นับตั้งแต่ 'ยุคกลางของกัมพูชา' นั้นไม่มีอารยธรรมเอาเลยเพราะเอาแต่รบกันมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยาจนบ้านเมืองเป็นเมืองเถื่อนและต้องอาศัยไทยและญวนไปช่วยแย่งชิงอำนาจกัน ช่วงหนึ่งเขมรตอนล่างตกเป็นของญวน พวกญวนก็ทำการ 'มล้าง' ความเป็นเขมรเสีย ห้ามแต่งตัวเป็นเขมร ห้ามทำผมแบบเขมร ห้ามใช้ชื่อเขมร ต้องเป็นญวนทั้งสิ้น

หลังจากไทยไปช่วยไล่ญวนนี่แหละ ไทยก็ช่วยฟิ้นวัฒนธรรมให้โดยใช้ของไทย แต่งแบบไทย  แต่นั้นมาเขมรก็เป็นเงาของไทย แต่แสร้งทำเป็นลืมแล้วมุสาว่า "ชุดเขมรคือของแท้" นี่มันน่าเจ็บใจจริงๆ กับสันดานเนรคุณแบบนี้

ขณะที่ราชสำนักเขมรนั้นได้รับพระเมตตาจากรัชกาลที่ 1 ให้มีละครแบบไทยได้ โดยตอนแรกให้มีแค่ละครนอก (ผู้ชายเล่นทั้งหมด) เพราะเจ้าประเทศราชมีศักดิ์ได้แค่นั้น ส่วนละครใน (ใช้ผู้หญิงเล่นทั้งหมด) เป็นของพระราชสำนักพระจักรพรรดิราชที่กรุงเทพฯ เท่านั้น 

ต่อมาหลังจากเขมรสิ้นชาติและถูกทำให้เป็นญวนอยู่พักหนึ่ง พอไทยไปช่วยฟื้นฟูอะไรต่อมิอะไรให้ ในหลวงรัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงสงสารพวกเขมรอย่างยิ่ง ก็ทรงมีพระมหากรุณาเป็นพิเศษให้เจ้าเขมรมีละครในอย่างกรุงเทพฯ ได้ แต่นั้นมาละครเขมรจึงเป็นตัวเป็นตน เพราะมีทั้งแบบชายและแบบหญิง แต่ความละเอียดอ้อนช้อยย่อมเทียบกับเมืองหลวง คือกรุงเทพฯ ไม่ได้เลย

ดีอย่างหนึ่งที่ราชสำนักเขมรนั้นเป็นผู้มีอารยะ ไม่เคยลืมว่านาฏศิลป์ของตนรับมาแต่เมืองไทย แม้ในปัจจุบันนี้พระราชวงศ์เขมรก็ยังปกป้องการสืบทอดจากไทยนี้โดยไม่มุสาวาทเพราะพวกท่านมีขัตติยมานะ รวมถึงครูบาอาจารย์เขมรเก่าๆ ที่ยังถือธรรมเนียมบูชาครู โดยบอกว่าครูไทยมาสอนนาฏศิลป์เขมร ซึ่งความซื่อสัตย์ของพวกท่านนั้นน่าเคารพนับถืออย่างยิ่ง

เว้นแต่เจ้าเขมรบางคนที่ "ทำให้ไทยเป็นศัตรูเพื่อสร้างเอกภาพในกัมพูชา" คือ นโรดม สีหนุ ที่มักจะโกหกว่านาฏศิลป์กัมพูชาเป็นต้นตำรับ ส่วนไทยเป็นของขโมยมาจากเขมร เรื่องนี้สีหนุโกหกมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 ต่อชาวโลก ทำให้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปาโมช (ซึ่งก็เป็นนาฏกรชั้นครูท่านหนึ่ง) โกรธเคืองสีหนุมาก และตำหนิอย่างรุนแรงมาแล้ว

ความเท็จที่เกิดจากเจตนาชั่วร้ายทางการเมืองนี้ไม่ได้หมดไปพร้อมกับความตายของสีหนุ แต่กลายเป็น 'ทายาทอสูร' สืบต่อมาในหมู่ชนชั้นเขมรที่ไร้สำนึก เช่น 'พวกสันดานบาปหยาบช้า' อย่างรัฐบาลกัมพูชาทุกวันนี้เท่านั้น ที่ไม่เพียงกลบเกลื่อนความจริงเรื่องที่เขมรรับวัฒนธรรมไทยมา แต่ยังส่งเสริมให้ประชาชนตัวเอง 'ขโมยวัฒนธรรม' กันอย่างซึ่งๆ หน้า

ดังนั้น กัมพูชาทำแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่พอชาติวุ่นวายก้หยุดทำ พอชาติตั้งตัวได้ก็ขโมยจากไทยอีก อย่างที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้

อย่างชุดประจำชาติเขมรนั้น เดิมเป็นชุด 'สมพต' คือนุ่งโจงแบบเขมร ผู้หญิงใส่เสื้ออย่างฝรั่ง ผู้ชายใส่เสื้อราชปะแตนอย่างไทย เวลาแต่งงานจะแต่งกันบบบนี้ โดยชายจะสวมครุยทับอีกโสดหนึ่ง 

ชุดสมพตเสื้อฝรั่งนั้น สีหนุกับเครือญาติช่วยกันสร้างช่วยกันโปรโมทขึ้นมาเพื่อ 'สร้างอัตลักษณ์ชุดเขมร' ในช่วงทศวรรษที่ 60 นี่เอง ปัจจุบันในวังหลวงเข้าเขมรที่กรุงพนมเปญก็ยังมีแบบอย่างการแต่งตัวแบบนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์

แต่เขมรยุคสแกมเมอร์ไม่ชอบแต่งแบบนั้น หรือพูดง่ายๆ คือ ทิ้งชุดประจำชาติที่สีหนุสร้างขึ้นมา มาใส่ชุดนุ่งซิ่นห่มสไบ แบบที่รับจากไทยตอนที่ไทยไปช่วยฟื้นวัฒนธรรมให้ รวมถึงชุดไทยโมเดิร์นที่เขมรรับไปช่วงที่เป็นประเทศราชของไทยในช่วงสุดท้าย

เช่น ราชปะแตนนั้นเขมรรับไปจากไทยในรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะช่วงที่พระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐเป็นมณฑลเขมรของไทย พื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งกระจายวัฒนธณรมราชสำนักไทยในหมู่คนเขมรต่ำๆ ลงไป แต่ปัจจุบันเขมรที่ปัญญาเบาอ้างว่า "เราเป็นเจ้าของเสื้อแบบนี้" เสียอย่างนั้น โดยไม่รู้จักเรียกชื่อให้ถูกต้องเสียด้วย น่าเวทนาเหลือประมาณ

ส่วนครุยนั้นมีหลักฐานในพระราชวงศาวดารเขมร ฉบับราชบัณฑิตยสภา ว่าเจ้าเขมรสมัยอยุธยาระบมาจากราชสำนักไทย โดยให้แต่งครุยอย่างไทย ผู้หญิงก็ให้แต่งอย่างเมืองไทยด้วย

ขณะที่ลอมพอกที่เขมรหันมานิยมใส่อีกครั้งหลังดูละครเรื่อง 'บุพเพสันนิวาส' เป็นเครื่องหัวของไทยมาแต่โบราณ เขมรเรียกย่างไทยว่าลอมพอกเช่นกัน โดยคำนี้เป็นภาษาไทยแท้ๆ และปรากฎในพจนานุกรมภาษาเขมรยุคก่อนว่าเป็น 'คำสยาม' 

ปัจจุบันเขมรยุคสแกมเมอร์เคลมเป็นต้นตำรับทั้งหมด ทั้งราชปะแตน ครุยไทย และลอมพอก โดยไม่สนอินทร์สนพรหมอะไรหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะถูกโปรแกรมให้เชื่อแบบนั้น

ไม่ใช่ว่าคนไทยจะไม่ชี้แจง แต่พูดดีๆ แล้วไม่ฟัง ทั้งยังกล่าวหาว่าประเทศไทยเป็นโจร 

เพราะรัฐบาลโจรของฮุน เซนนั้นมีเจตนาจะปล้นอยู่แล้ว จึงไม่มีทางยอมรับความจริง และมุ่งเผยแพร่เรื่องโกหก วิธีการหนึ่งก็คือการทำให้เรื่องโกหกได้รับความชอบธรรม เช่น การผลักดัน 'วัฒนธรรมกัมพูชา (ที่ปล้นจากไทย)' ไปให้องค์การยูเนสโกรับรอง พอผ่านการรับรองแล้ว ก็จะแสดงท่าหยิ่งผยองว่า "ข้าคือต้นตำรับ" เพราะยูเนสโกยอมรับ

นี่คือความเนรคุณที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาในฐานะที่สังเกตการณ์กิจการของโลกนี้มาก็มาก

เมื่อคนเขมรเชื่อโดยไม่คิด ดังนั้น คนไทยก็ต้องตอบโต้ด้วย 'พระเดช' นั่นคือ ต้องประกาศให้โลกรู้ว่าสิ่งที่กัมพูชาป่าวประกาศคือเรื่องเท็จ เปิดโปงขบวนการปล้นสมบัติไทย เปิดหน้าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำโจรกรรมทางวัฒนธรรม ตั้งทีมฟ้องร้องคนเขมรที่ล่วงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

โดยสรุปก็คือ ให้โลกเห็นว่าประเทศนี้คือ 'จอมโจร' และไทยมีความชอบธรรมที่จะปราบโจรในครั้งนี้ 

ส่วนการที่เขมรใช้ยูเนสโกเป็นเครื่องมือ ไทยต้องยกมือค้านทุกครั้งไปหากมีของๆ ไทยไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น การยัดไส้วัฒนธรรมในการลงทะเบียนโดยยูเนสโก 

หากยูเนสโกยยังหูหนวกตาบอด ประเทศไทยก็ควร 'ลงโทษ' องค์การนี้ซะบ้าง เช่น ลดระดับความร่วมมือ กดดันองค์กรนี้ให้หนัก เพราะไทยเป็นภาคีที่สำคัญประเทศนั้น ในเวลาเดียวกันก็ทำการโจมตีกัมพูชาในทางวัฒนธรรมอย่างหนักเพื่อให้ 'ยอมคุกเข่า' ต่อไทยให้จงได้  

นี่คือการทำ 'สงครามทางวัฒนธรรม' เพื่อปกป้องอัตลักษณ์ ตัวตน และสมบัติของชาตืจากการถูก 'คนชั่ว' ที่ทำมุสาวาทและเผยแพร่คำมุสาเหล่านั้นต่อชาวโลก 

เช่นเดียวกับที่ไทยควรเป็นแม่งานในการทำ 'สงครามต่อต้านการฉ้อโกงทางอิเล็กทรนิกส์' อันเป็นมิจฉาชีพที่เป็นแหล่งทุนให้กัมพูชา 

ไทยก็ควรเป็นแม่ทัพในการทำ 'สงครามทางวัฒนธรรม' เพื่อปราบกัมพูชาให้ยอมศิโรราบและรู้สึกถึงความเลวร้ายของตน ในฐานะโจรปล้นวัฒนธรรมคนอื่น

ถึงเวลาของ 'สงครามทางวัฒนธรรม' เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาติเราแล้วครับ

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - นักระบำจากโรงเรียนสอนศิลปะกำลังแสดงในพิธีฉลองครบรอบ 74 ปีการก่อตั้งพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)
 

TAGS: #กัมพูชา #วัฒนธรรมไทย