ทางออกวิกฤตทะเลไทย ‘Blue Economy’ พัฒนาเศรษฐกิจไทย อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้ยั่งยืนไปด้วยกัน
เป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยนั้นอุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติอันล้ำค่า นอกจากผืนป่า สายน้ำ และแผ่นดิน ยังมีท้องทะเลขนาบข้างทั้งสองฝั่งคือ ทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) และอ่าวไทย ซึ่งเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญ ทั้งยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ทว่าที่ผ่านมาด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้ทะเลเสื่อมโทรมลง หนำซ้ำยังต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง
ทั้งหมดนี้นำไปสู่แนวคิดการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายนอกจากจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์แล้ว ยังสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตภายใต้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมไปด้วยพร้อมกัน
นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเลกว่า 320,000 ตารางกิโลเมตร มีความยาวของชายฝั่งทะเลกว่า 3,100 กิโลเมตรครอบคลุม 23 จังหวัด ทำให้มีทรัพยากรทางทะเลที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 24 ล้านล้านบาท นอกจากนี้สร้างรายได้ให้กับประเทศถึง 1 ใน 3 ของ GDP
“ความโชคดีของประเทศไทยคืออยู่ติดทะเลสองฝั่งทั้งมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย ทำให้เรามีทรัพยากรทางทะเลค่อนข้างเยอะ ซึ่งในอดีตท้องทะเลมีความอุดมสมบูรณ์กว่านี้ มีสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก มีแนวปะการังสวยงาม แต่ช่วงสามสิบปีมานี้เราใช้ทรัพยากรจนเกินขีดจำกัด ทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม สัตว์น้ำลดลง แนวปะการังเสียหายจากปรากฏการณ์ฟอกขาว คุณภาพน้ำแย่ลงจากปรากฏการณ์ทะเลเปลี่ยนสี (Plankton Bloom) รวมถึงผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่ขาดจิตสำนึกและการประมงผิดกฎหมาย ทุกวันนี้ทรัพยากรทางทะเลของไทยถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว”
“เวลาเราพูดถึงคำว่า ‘อนุรักษ์’ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าจะต้องสงวนทรัพยากรเอาไว้โดยไม่ใช้เลย ซึ่งในสมัยที่เรายังมีทรัพยากรเยอะก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ แต่ปัจจุบันเมื่อประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้น ทรัพยากรร่อยหรอลง คำว่าสงวนจึงถูกใช้ในบริบทที่ยากขึ้น ตามมาด้วยความขัดแย้งในหลายพื้นที่ เช่น รัฐอยากอนุรักษ์ผืนป่า แต่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงเกิดการต่อต้าน สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องผืนป่า ปกป้องทะเลได้ ไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์ ท้ายที่สุดจึงเกิดแนวคิดที่จะดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนดีกว่าจะกันคนออกไปเฉยๆ”
“ยกตัวอย่างแนวปะการัง เมื่อก่อนเราประกาศว่าจะอนุรักษ์สงวนแนวปะการังเอาไว้เป็นที่อยู่อาศัยของปลา ห้ามใครรุกล้ำหรือแตะต้องเป็นอันขาด แต่ในความเป็นจริงปั้จจุบันผู้คนนิยมการท่องเที่ยวทางทะเลมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมดำน้ำไปชื่นชมความสวยงามใต้ทะเล คำถามคือเราจะบริหารจัดการอย่างไรให้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง นักท่องเที่ยวก็ได้ดำน้ำ ปะการังก็ยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำได้”
นายปิ่นสักก์ อธิบายว่า ‘เศรษฐกิจสีน้ำเงิน’ หรือ ‘Blue Economy’ คือแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาว สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals - SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 14 ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีน้ำเงินในประเทศไทย โดยทำหน้าที่ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างชาญฉลาด ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความเป็นธรรมทางสังคม
“ถ้าเราจะส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน หัวใจสำคัญคือกระบวนการดึงคนเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน จนถึงชาวบ้านในพื้นที่ พูดง่ายๆ ว่าทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าเศรษฐกิจสีน้ำเงินคืออะไร แล้วทะเลไทยสร้างเศรษฐกิจจากตรงไหนบ้าง เช่น การท่องเที่ยว ธุรกิจประมง ทรัพยากรแร่ธาตุ แหล่งเชื้อเพลิงและพลังงาน หรือการขนส่งทางทะเล แล้วใครบ้างที่ได้ประโยชน์จากตรงนั้น ทำยังไงจะไม่ให้มีปัญหารวยกระจุกจนกระจาย ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาได้ประโยชน์ แต่คนในพื้นที่ไม่ได้อะไรเลย”
นายปิ่นสักก์เชื่อว่าแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงินคือปลายทางของการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน สามารถทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้โดยปราศจากความขัดแย้ง และที่สำคัญยังสร้างรายได้ทำให้เศรษฐกิจภาคทะเลเจริญเติบโต
“แม้ทุกวันนี้จะมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเยอะขึ้น ระบบนิเวศเสื่อมโทรมลง แต่นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะปัจจัยเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความสวยงาม ความสะดวกสบายก็ตาม ผมมองว่าประเทศไทยเราอยู่ในจุดที่เหมาะสม เดินทางง่าย คนไทยนิสัยดี แถมยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ ในอนาคตข้างหน้าถ้าเราฟื้นฟูท้องทะเลให้กลับคืนมาได้ เราก็จะสามารถเสริมจุดแข็งทางเศรษฐกิจภาคทะเลเพื่อไปแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนิเซีย และฟิลิปปินส์ได้”
ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันยังสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้ยั่งยืนได้พร้อมกันด้วย