คอลัมน์ 'Growth and Sustainability' โดย 'วิฑูรย์ สิมะโชคดี'
ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างต้องการ “คุณภาพชีวิต” ที่ดีขึ้น
ทั้งๆ ที่เราอาจจะไม่รู้ (อย่างชัดเจน) ด้วยซ้ำไปว่า “คุณภาพชีวิตที่ดี” คืออะไร แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะยึดเอากล่าวอ้างคำว่า “คุณภาพ” จนติดปาก เพราะเชื่อกันว่าอะไรที่มี “คุณภาพ” สิ่งนั้นมักจะเป็นของดีและมีราคาเสมอ
คำว่า “คุณภาพ” ” (Quality) จึงมีความหมายในเชิงบวกที่แสดงถึง “ความดีกว่า” เสมอ
แม้ว่า “คุณภาพชีวิต” (Quality of Life) จะมีความหมายกว้างขวางแตกต่างกันไปตามการรับรู้และความเข้าใจของแต่ละคน
แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า “คุณภาพชีวิต” มักจะหมายถึง “การกินดีอยู่ดี” ซึ่งครอบคลุมถึง การมีรายได้ที่มั่นคง มีการงานที่ดี มีการศึกษาดี มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น มีสุขภาพแข็งแรง มีเสรีภาพ มีสภาพแวดล้อมที่ดี และมีความปลอดภัยในการดำรงชีวิต มีชีวิตที่ดีกว่า เป็นต้น
แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยมักจะเอา “คุณภาพชีวิต” ไปผูกติดกับเรื่องของ “การ (มี) เงิน”
หลายคนเชื่อว่าเมื่อมีรายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้น เพราะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น มีบ้าน มีเสื้อผ้า มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีการศึกษาสูง สามารถไปทานอาหารดีๆ ได้ ไปท่องเที่ยวได้ หาหมอดีๆ ได้ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้น มีความสุขมากขึ้น และได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น
ในขณะที่อีกหลายคนมองว่า การมีรายได้ดีต้องแลกกับงานที่หนักขึ้น เครียดขึ้น ทำให้เวลาที่อยู่กับครอบครัวน้อยลง อันเป็นเหตุให้คุณภาพชีวิตลดลง
เรื่องของคุณภาพชีวิตที่ว่านี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ให้ความหมายของ “คุณภาพชีวิต” เมื่อ พ.ศ. 2540 ว่า “คุณภาพชีวิต คือ การดำรงชีวิตของมนุษย์ในระดับที่เหมาะสมตามความจำเป็นพื้นฐานในสังคมหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งๆ องค์ประกอบของความเป็นพื้นฐานที่เหมาะสม อย่างน้อยก็น่าจะมีอาหารที่เพียงพอ มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม มีสุขภาพกายและจิตใจดี ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งได้รับการบริการพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประกอบการดำรงชีพอย่างยุติธรรม”
ส่วน UNESCO ได้ให้ความหมายของ “คุณภาพชีวิต” เมื่อ ค.ศ. 1981 ว่า “คุณภาพชีวิตเป็นความรู้สึกของการอยู่อย่างพอใจต่อองค์ประกอบต่างๆ ของชีวิตที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดของบุคคล”
โดยสรุปแล้ว “คุณภาพชีวิต” จึงหมายถึง “ชีวิตที่มีค่ามีความสุข” ซึ่งแสดงถึงการดำรงชีวิตที่อยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีความสุขสบาย มีความสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสังคมที่ตนอยู่ได้อย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถเผชิญปัญหาต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้ศักยภาพส่วนบุคคลสร้างสรรค์พัฒนาตนเองและสังคมให้อยู่รวมกันได้อย่างสันติสุข
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ จึงเห็นได้ว่า “คุณภาพชีวิต” สามารถแยกได้เป็น 2 ลักษณะ ลักษณะแรก คือ คุณภาพชีวิต (ส่วนบุคคล) อันเกี่ยวกับการดำรงชีวิตส่วนบุคคลและชีวิตครอบครัว ส่วนลักษณะที่สอง คือ คุณภาพชีวิต (ในสังคม) อันเกี่ยวกับการทำงาน (Quality of Work Life) และการดำรงชีวิตในสังคม
คุณภาพชีวิตส่วนบุคคล เกิดจาก “การเลือกและการตัดสินใจของตัวเราเอง” ที่เป็นเจ้าของชีวิต ส่วนคุณภาพชีวิตในการทำงานและสังคม มักจะเกิดจากบุคคลอื่นกำหนดให้ โดย “การจัดสรรให้” หรือการบริหารจัดการให้เกิดขึ้นโดยเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารจัดการโรงงาน (สำนักงาน)
ทุกวันนี้ แม้เราจะสามารถเลือกและกำหนดคุณภาพชีวิตส่วนบุคคลได้ แต่เรื่องของคุณภาพชีวิตในสังคม (ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตส่วนบุคคล) นั้น เราคงจะกำหนดเองไม่ได้ (ง่ายๆ)
ถ้าจะพูดแบบกำปั้นทุบดินแล้ว “คุณภาพชิวิต” ที่เราต่างต้องการ ก็คือ “การมีความสุขและมีความพึงพอใจในความเป็นอยู่” คุณภาพชีวิตจึงเป็นความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งไม่ใช่หมายถึง “ความสมบูรณ์แบบ” ครับผม !