ผู้ปกครองควรเตรียมข้อมูลเรื่องเพศวิถีศึกษาให้พร้อม UNESCO เผย เพราะวัย 3-5 ขวบคือวัยที่เริ่มเรียนรู้เรื่องเพศ และพร้อมที่จะทำความเข้าใจ
ผู้ปกครองหลายคนคงไม่แน่ใจว่า ประเด็นละเอียดอ่อนอย่างเรื่อง'เพศวิถี' เป็นเรื่องที่เราควรพูดคุยกับลูกหลานของเราหรือไม่ หรือเราควรจะพูดคุยกับเด็กๆในช่วงไหน ในปี 2562 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ได้เผยแพร่ 'แนวปฏิบัติสากลทางวิชาการเรื่องเพศวิถีศึกษา' (International technical guidance on sexuality education: an evidence-informed approach)
ซึ่งเป็นคู่มือวิชาการที่นำเสนอหลักฐานและเหตุผลเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนเพศวิถีศึกษา (CSE) ให้เด็กและเยาวชนเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เผยว่าเราสามารถพูดคุยเรื่องเพศกับลูกหลานได้ตั้งแต่อายุ 3-5 ขวบ
เพศวิถีศึกษาคืออะไร
เพศวิถีศึกษา หรือ CSE คือการเรียนการสอนหลักสูตรเพศวิถี ทั้งในแง่ความนึกคิด อารมณ์ กายภาพ และสังคม เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนได้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติและค่านิยมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ สุขภาวะ และสักดิ์ศรีอย่างสมบูรณ์
พัฒนาสัมพันธภาพทางสังคมและความสัมพันธ์ทางเพศที่เคารพซึ่งกันและกัน คำนึงถึงผลกระทบจากการตัดสินใจของตนต่อสุขภาวะของตนเองและผู้อื่น อีกทั้งเข้าใจและสามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้อย่างยั่งยืนตลอดชีวิต
3-5 ขวบ วัยเรียนรู้
เด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไปจะเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างของอวัยวะเพศหญิงและชาย เริ่มยอมรับความเป็นหญิงหรือชาย ให้ความสนใจในอวัยวะเพศ แสดงความอยากรู้อย่างเปิดเผย เช่น จ้องมองหรือแอบดูอวัยวะเพศของเด็กคนอื่น เปิดกระโปรงแม่ เป็นต้น
ในช่วงวัย 4-5 ขวบ และเด็กจะเริ่มบอกความแตกต่างทางกายภาพได้ เช่น ผู้หญิงไว้ผมยาวและนุ่งกระโปรง ผู้ชายตัดผมสั้นและนุ่งกางเกง โดยเรียนรู้บทบาททางเพศจากพ่อและแม่ และในวัย 5 ขวบ เด็กจะสามารถวาดรูปให้เห็นถึงความแตกต่างของหญิงและชายได้
อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจยังสับสนเพราะการแต่งตัวหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในกลุ่มเพศทางเลือก ซึ่งเด็กส่วนใหญ่จะมีบุคลิกลักษณะเป็นเพศเฉพาะของตนได้เมื่อพ้นวัย 5 ปีไปแล้ว
ผลลัพธ์ของเพศวิถีศึกษาในด้านของพฤติกรรมและสุขภาวะทางเพศ
- เพศวิถีศึกษาส่งผลในเชิงบวก ทั้งต่อความรู้ที่มากขึ้น และการปรับเปลี่ยนทัศนะคติที่เกี่ยวซ้องกับพฤติกรรมทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์
- เพศวิถีศึกษทั้งในและนอกโรงเรียนไม่ทำให้กิจกรรมทางเพศ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรืออัตราการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/เอชไอวีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
- การสอนให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้เยาวชนชะลอการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกออกไปหรือลดความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์และจำนวนคู่นอนแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม การเรียนการสอนที่ได้ผล คือ การสอนให้ชะลอกิจกรรมทางเพศออกไปควบคู่ไปกับเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยหรือการคุมกำเนิด
- การเรียนการสอนที่น้นด้นเพศสภาวะส่งผลต่อสุขภาพ เช่น กรลดอัตราการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดีกว่าการเรียนการสอนที่ไม่แยกให้เห็นประเด็นเพศสภาวะอย่างชัดเจน
- การเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาในโรงเรียนจะได้ผลมากที่สุด เมื่อดำเนินการควบคู่กับบริการด้านสุขภาพที่เป็นมิตรกับเยาวชน และการมีส่วนร่วมของพ่อแม่และครู
ความรุนแรงจากเพศสภาวะในวัยเด็ก
ทุก ๆ ปี เด็กประมาณ 246 ล้านคนต้องเผชิญกับความรุนแรงเนื่องจากเพศสภาวะ ทั้งนี้ความรุนแรงด้วยสาเหตุวิถีทางเพศและอัตลักษณ์/การแสดงออกทางเพศสภาวะ หรือที่เรียกว่าความรุนแรงเพราะความเกลียดชังต่อการรักเพศเดียวกันและข้ามเพศถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงเนื่องจากเพศสภาวะในโรงเรียน
ความรุนแรงทางเพศจากครูหรือเพื่อนนักเรียนอาจส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือโดยไม่พร้อม นำไปสู่ความรุนแรงเนื่องจากเพศสภาวะเพราะการตั้งครรภ์ในโรงเรียนโดยเพื่อนร่วมชั้นเรียนและครู เช่น การรังแกและล้อเลียนเด็กผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และแม่วัยรุ่น เป็นต้น
เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดดความความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเพศวิถี การได้พูดคุยกับเด็กๆ เพื่อให้ลูกหลานมีความเข้าใจและมีทัศนคติที่ถูกต้อง พร้อมเข้าสู่สังคมที่มีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน
การสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาควรเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์มาจากข้อเท็จจริง กระบวนการสอนควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื้อหาตอบสนองต่อความต้องการ และจำเป็นต้องเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ วัฒนธรรมและบริบทในพื้นที่ สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี สามารถพัฒนาทักษะชีวิตที่ส่งเสริมการตัดสินใจที่ดี
ข้อมูลเกี่ยวกับเพศวิถีต้องครอบคลุมรอบด้าน เช่น ประเด็นสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ รวมถึงกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบเพศและระบบสืบพันธุ์ การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ การมีประจำเดือน การเจริญพันธุ์ การคุมกำเนิดแบบใหม่ การตั้งครรภ์และคลอดบุตร และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมถึงเอซไอวี/เอดส์ อีกทั้งต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ