ปรับความเข้าใจใหม่! ขนหมา ขนแมวไม่สามารถเข้าปอดได้

ปรับความเข้าใจใหม่! ขนหมา ขนแมวไม่สามารถเข้าปอดได้
หลายคนที่เลี้ยงสัตว์มักกลัวขนหมา ขนแมวจะเข้าจมูก และทำให้เด็กๆ ป่วย หลายคนยังเข้าใจว่าขนพวกนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดโรค แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ขนสัตว์ไม่สามารถลงสู่ปอดได้ แต่เป็นเชื้อแบคทีเรียต่างหาก!

หลายคนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เป็นแค่เพียงเพื่อนยามเหงา แต่บางครั้งยังยกให้เป็นลูก เป็นหลาน หนำซ้ำยังเอาขึ้นมานอนด้วยกันบนเตียง แต่ก็มีหลายคนที่เป็นห่วงลูกหลานจะได้รับอันตรายจากขนสัตว์ ซึ่งความเป็นจริงแล้วขนสัตว์เหล่านี้สามารถเข้าจมูกได้จริง แต่มันไม่ได้เข้าไปยังปอดจนทำให้เกิดความเสียง

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อ.เจษฎ์) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โดยระบุว่า 

"ย้อนกลับไปหลายปีก่อน เคยมีแชร์กันว่า มีเด็กเสียชีวิตเพราะติดปอดติดเชื้อ และแพทย์วินิจฉัยว่ามีขนสัตว์ติดอยู่ในช่องปอด เลยทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งตรงกับการที่เด็กคนนั้นเลี้ยงหมาเป็น 10 ตัวมาเป็น 10 ปี ... ทำเอาคนเลี้ยงหมาแมวแตกตื่นกันใหญ่ และก็ลือกันไปจนถึงขนาดกลายเป็น "มะเร็งปอด" เลยทีเดียว

แต่ความจริงแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ขนหมาแมวจะเข้าไปถึงในปอดของคนเราได้ ถึงจะหายใจเข้าไปก็ตาม เพราะช่องทางเดินหายใจของเรา จะเล็กลงเรื่อยๆ ลงไปจนถึงถุงลมปอดซึ่งจะมีขนาดเล็กมากๆ วัตถุที่จะไปถึงปอดได้ต้องมีขนาดเล็กมากแค่ 3-5 ไมโครเมตร (ไมครอน) ลงไปเท่านั้น หรือก็คือต้องเป็นแค่ฝุ่นผงในอากาศที่ตามองไม่เห็นเลย ไม่ใช่อย่างขนหมาแมว ที่ทั้งใหญ่ และเป็นเส้นยาวๆ

นอกจากนี้ระบบทางเดินหายใจ ยังมีกลไกในการจับและขับสิ่งแปลกปลอมออกไปอยู่แล้ว เช่น เกิดการระคายเคืองแล้วจามหรือไอออกมา มีเมือกหรือเสมหะที่จับเอาไว้ รวมทั้งการที่มี cilia (ซีเลีย) เล็กๆ พัดโบกให้ออกมา ดังนั้น ไม่มีทางเลยที่ขนแมวขนหมาจะเข้าไปสะสมในปอด จนอักเสบ หรือเป็นมะเร็งปอด อย่างที่ลือกัน ... อย่างมาก ก็เป็นอาการแพ้ของสัตว์ ที่บางคนเป็นได้ มากกว่า

แต่ๆๆ อย่างพึ่งประมาทไป การคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงนั้น ก็ต้องระมัดระวังในการติดเชื้อต่างๆ จากมันด้วย ถ้าสัตว์เลี้ยงของเรานั้นสุขภาพไม่ดี ก็มีสิทธิที่เราจะได้รับทั้งเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิตต่างๆ จากมันได้ ... ยิ่งเราไปนอนกับมันทั้งคืนด้วยแล้ว โอกาสติดเชื้อก็มีย่อมมีมากขึ้น"

 

แล้วความเสี่ยงหลักคืออะไร เว็บไซต์ ABC Health & Wellbeing เผยว่ามีการศึกษาน้อยมากที่พิจารณาความเสี่ยงของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (โรคที่แพร่กระจายระหว่างสัตว์และมนุษย์) ในบ้านของออสเตรเลีย

ดร. เจน เฮลเลอร์ มหาวิทยาลัยชาร์ลส์ สเติร์ท รัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่าโดยรวมแล้วความเสี่ยงในการติดโรคจากสัตว์เลี้ยงของคุณนั้นต่ำมาก แบคทีเรียที่คุณสามารถรับจากสัตว์เลี้ยงของคุณแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ แบคทีเรียที่สัตว์เลี้ยงของคุณกินเข้าไปและแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในหรือบนตัวพวกมัน

ประเภทแรก เชื้อซัลโมเนลล่า และเชื้อแคมพีโลแบ็คเตอร์ สิ่งเหล่านี้มักไม่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในสัตว์เลี้ยง (แม้ว่าอาจเป็นไปได้) แต่จะหลั่งออกมาในอุจจาระและอาจทำให้เกิดอาการป่วยประเภทระบบทางเดินอาหารในคนได้

เฮลเลอร์อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจเข้าสู่ระบบย่อยอาหารของสัตว์เลี้ยงของคุณเมื่อพวกมันกินเนื้อดิบ เช่น คอไก่และกระดูก

"เนื้อดิบดีต่อฟันของพวกเขาและพวกเขาก็ชอบมัน แต่การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ของแคนาดาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างการให้อาหารสัตว์ด้วยเนื้อดิบกับการหลั่งของเชื้อซัลโมเนลล่าในอุจจาระ" เฮลเลอร์กล่าว

ความเสี่ยงหลักของเราเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสกับอุจจาระของสัตว์ ดังนั้น การทำอาหารกลางวันให้ครอบครัวของคุณหลังจากไปเที่ยวสวนสุนัขในช่วงเช้าวันเสาร์โดยไม่ล้างมือ เป็นต้น ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

แบคทีเรียที่เป็นปัญหาอื่นๆ คือแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติบนตัวสัตว์เลี้ยงของคุณโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย (เรียกว่าแบคทีเรียร่วมบ้าน) แต่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือโรคในมนุษย์ได้

ตัวอย่างที่โด่งดังและเป็นปัญหาที่สุดน่าจะเป็นเชื้อสแตรฟฟีโลคอคคัส มันสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ในมนุษย์ ตั้งแต่การติดเชื้อที่ผิวหนังและบาดแผล ไปจนถึงปอดบวมและแม้แต่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

"เรารู้ว่าสุนัขและแมวมีเชื้อสแตรฟฟีโลคอคคัส อยู่ในจมูกและบนเสื้อโค้ทของพวกมัน และเรายังรู้ด้วยว่าอุบัติการณ์ของมนุษย์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ กำลังเพิ่มสูงขึ้นในชุมชน" เฮลเลอร์กล่าว

ความเสี่ยงหลักในการรับแบคทีเรียประเภทนี้หรือส่งต่อจากคนสู่สุนัขนั้นน่าจะมาจากการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงเอาจมูกเข้าปากและจมูก "หากคุณมีบาดแผลเปิดหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ความเสี่ยงอาจมีความสำคัญมากขึ้น" เฮลเลอร์กล่าวเสริม

TAGS: #สัตว์เลี้ยง #สุขภาพ