Tell Me More : ต้าห์อู๋ ออฟโรด พาร์ทเนอร์ที่ผ่านจุดยากในชีวิต เพื่อมาเติมเต็มให้กัน

Tell Me More : ต้าห์อู๋ ออฟโรด  พาร์ทเนอร์ที่ผ่านจุดยากในชีวิต เพื่อมาเติมเต็มให้กัน
“ต้าห์อู๋-ออฟโรด” ต่างผ่านช่วงเวลาหนักหน่วงของชีวิต จนได้มาเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจกันมากกว่าคำว่าเพื่อนร่วมงาน

ทุกคนต่างมีจุดพลิกผันของชีวิตที่หล่อหลอมให้กลายเป็นตัวเราในวันนี้ เช่นเดียวกับ “ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว” และ “ออฟโรด กันตภณ จินดาทวีผล” หรือที่เราคุ้นหู้ในชื่อที่มาเป็นแพ็คคู่อย่าง “ต้าห์อู๋ออฟโรด” ทั้งคู่เคยผ่านช่วงเวลาชีวิตที่ยากลำบากมาเหมือนกัน และมันก็ได้สอนให้พวกเขาเป็นตัวเองได้อย่างวันนี้ 

ทั้ง 2 คนได้มาทำงานร่วมกัน กลายเป็นพาร์ทเนอร์ที่หลายคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เคมีเข้ากันแบบสุดๆ และ Tell Me More ก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขา ถึงบททดสอบของเส้นทางชีวิตในวัยเด็ก และสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ก้าวข้ามความเจ็บปวด เพื่อมาเติมเต็มให้กันในวันนี้

ต้าห์อู๋และออฟโรดมีอายุห่างกันเพียงปีกว่าเท่านั้น มันจึงทำให้พวกเขา อยู่กันได้เหมือนเพื่อน พี่น้อง และเพื่อนร่วมงานที่พูดคุยและเข้าถึงกันได้ง่าย และการรับบทบาทเป็นพี่ของน้องชายที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี นั่นก็เพราะต้าห์อู๋ ได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองจากครอบครัวที่ให้อิสระได้เลือกทางเดินทางอย่างเต็มที่ 

พี่ชายคนนี้เติบโตมาในครอบครัวคนจีนที่ทำธุรกิจโรงงิ้วและขายของตามตลาดนัด สิ่งนั้นเองทำให้เขาซึบซับและตระหนักอยู่เสมอว่า “เงินหามายากมาก” และตัวเขาก็ไม่เคยอายที่จะพูดต่อหน้าใครว่า “ที่บ้านไม่ได้รวยนะ”  

ช่วงชีวิตวัยเด็กของต้าห์อู๋ ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่สักเท่าไร เขาได้ออกไปเผชิญโลกภายนอก คบหาเพื่อนหลากหลายแบบ ได้ลองทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ จนได้เจอกับรุ่นพี่ที่แนะนำว่า ให้ไปเป็นนักร้องกลางคืนตามร้านอาหาร เพราะได้เงินเยอะ ประกอบกับตัวเองชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เพราะรอบตัวมีแต่เสียงดนตรี และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ต้าห์อู๋ได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองให้ทุกคนได้ชื่นชม 

ขณะที่น้องชาย อย่าง ออฟโรด เติบโตมากับภาพจำครอบครัวที่ “สู้ชีวิต” แม้ว่าในตอนเด็กจะสุขสบาย ครอบครัวอบอุ่น แต่เมื่อเกิดจุดพลิกผันในชีวิต ครอบครัวประสบปัญหาทางธุรกิจจนต้องล้มละลาย มันจึงทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป จากที่เคยมีกลายเป็นไม่มี สิ่งของชิ้นใหญ่ที่เคยได้ต้องปรับขนาดให้เล็กลง พูดง่ายๆ ว่า ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปพอสมควร 

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดคำถามในใจว่า ทำไมของต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับ และเดินหน้าต่อ เพราะเป็นความจริงที่ตัวเขาต้องเผชิญ 

จนมาวันนี้ สิ่งที่ผ่านมาได้สอนอะไรหลายอย่างให้กับเขา โดยเฉพาะมุมมองต่อว่า ลำบาก เป็นสิ่งที่คอยคัดว่าใครจะอยู่หรือจะไปจากชีวิตของเขา จากครั้งหนึ่งที่ครอบครัวมีเงิน มีญาติเยอะจนจำชื่อไม่ได้ แต่ในวันที่ล้ม กลับไม่เคยมีใครยื่นมือมาช่วย และนั่นจึงเป็นแรงผลักทั้งหมดที่ทำให้เขา พูดกับแม่อย่างแน่วแน่ว่า “แม่ คอยดู ลูกจะดูแลที่บ้านเอง” 

เมื่อเวลาเลยผ่าน ไม่ว่าทั้งคู่จะเจออะไรมา จะเป็นคนลักษณะนิสัยแบบไหน แต่เมื่อได้มาเจอกัน มันเป็นเหมือนสิ่งที่คอยเติมสิ่งที่อีกคนขาดหายไป 

ออฟโรดยอมรับอย่างเต็มปากว่า การเจอต้าห์อู๋ ทำให้เขาใช้ชีวิตรีแล็กซ์มากขึ้น จากคนที่ใช้ชีวิตเครียด เป็น Perfectionist กลายเป็นปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จากที่เป็นคนใจร้ายกับตัวเอง ก็ให้รางวัลตัวเอง และมองความสุขให้ง่ายขึ้น 

“ผมคงไม่ใช่ออฟโรดแบบนี้ อาจยังเครียดอยู่ และคงไม่ได้พัฒนาเร็วแบบนี้ พี่อู๋เก่งมาก ผมยอมรับเขาทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้จริงๆ เขาแทบไม่พูดคำว่ายาก หรือทำไม่ได้ เขาจะบอกผมว่า ไม่เป็นไร เอาใหม่ แค่มึงตั้งใจมึงทำได้ ผมเข้าใจโลกมากขึ้น โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา เราต้องหมุนรอบคนอื่น”

ไม่เพียงเป็นผู้ได้รับอยู่ฝ่ายเดียว แต่ต้าห์อู๋ ก็ยอมรับว่า การได้เจอกับออฟโรด มันทำให้เขากลายเป็นคนใจเย็นมากขึ้น จากที่เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว ทั้งความคิดและการกระทำ จนอาจไม่ได้คิดให้รอบคอบเสียก่อน “เป็นอะไรที่สอนเราหลายอย่าง ว่า ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กต์ มันเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง สำหรับการมีเขาอยู่”

หากถามว่า ถ้าวันนี้ไม่มีอีกคนอยู่ข้างๆ จะยังเป็นตัวเองเหมือนที่เป็นอย่างวันนี้ได้หรือไม่ คงไม่มีคำตอบตายตัว เพราะทั้งคู่ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และคอยเติมเต็มกันอยู่เสมอ ทั้งในด้านความรู้สึกและบทเรียนของชีวิต เมื่อความแตกต่างมาเจอกัน บางครั้งมันจึงเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ใครหลายคนก็มอง “ต้าห์อู๋ออฟโรด” แบบนั้นเช่นกัน 
 

TAGS: #TellMeMore #LifeStory #ต้าห์อู๋ออฟโรด #DaouOffroad