Dr. Martens รองเท้าที่เริ่มต้นจากความ “เจ็บ” แปรเปลี่ยนเป็นไอเทมคู่ใจในโลกของแฟชั่นและวัฒนธรรม ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจจนถึงวันนี้
บางครั้งความเจ็บปวดก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ได้ เหมือนอย่าง Dr. Martens ที่เกิดจากบาดแผลของแพทย์ชาวเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเพียงต้องการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับเท้าเขาเท่านั้น แต่มันกลับกลายมาเป็นแฟชั่นและสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงวันนี้
Dr. Klaus Märtens แพทย์ชาวเยอรมันที่รอดพ้นจากสงครามในปี 1945 หลังผ่านพ้นความวุ่นวายเขาได้ประสบปัญหาจากการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้เขาพบว่า รองเท้าบูททหารที่เขาใส่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายเท้าอีกต่อไป และในช่วงนั้นเอง เขาจึงได้ออกแบบรองเท้าที่สวมใส่สบายมากยิ่งขึ้น พร้อมกับรองรับแรงกระแทกได้
เมื่อมีไอเดียที่ดีแล้ว Dr. Klaus ก็ได้ชวนพาร์ทเนอร์อย่าง Dr. Herbert Funk เพื่อนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย มาผลิตและจำหน่ายรองเท้าจากวัสดุเหลือใช้จากสงคราม โดยมีหญิงสูงอายุชาวเยอรมันเป็นกลุ่มลูกค้าหลักในช่วงแรก
จากนั้นไม่นาน รองเท้าบูท Dr. Martens รุ่นแรกก็ได้กลายเป็นที่รู้จักในสหราชอาณาจักรในปี 1960 โดย บริษัท R. Griggs Group ได้ซื้อสิทธิ์ผลิตรองเท้า พร้อมปรับดีไซน์ให้เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก เช่น ตะเข็บสีเหลืองที่โดดเด่นอย่างที่หลายคนคุ้นเคย มีร่องพื้นเพื่อยึดเกาะที่ดีขึ้น พื้นรองเท้า PVC แบบมีอากาศ และใช้หนังที่คุณภาพสูง และด้วยความทนทาน จึงกลายเป็นที่นิยมของคนงานในอังกฤษอย่างแพร่หลาย
ผลัดช่วงเวลามาในยุค 70s-80s รองเท้าคู่นี้ได้ขยับสถานะจากรองเท้าคนงาน กลายเป็นรองเท้าที่ถูกยกย่องในโลกของแฟชั่น โดยเฉพาะได้รับความนิยมในกลุ่ม Punk, Skinhead รวมไปถึงกลุ่มชาวร็อก แต่ไม่ใช่เพราะความสวยงามของดีไซน์รองเท้า แต่พวกเขาสวมใส่เพื่อแสดงจุดยืนทางสังคม และนั่นก็เป็นผลให้ยอดขายรองเท้าพุ่งขึ้นตามไปด้วย
แต่แล้วในช่วงปลายยุค 90s ความนิยม Dr. Martens ได้ลดลงอย่างมาก จนส่งผลต่อยอดขายทำให้มีการปิดโรงงานผลิตไปเกือบทุกแห่ง และแบรนด์ก็ได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อแฟชั่นวินเทจได้มาเป็นที่นิยมอีกครั้งในกลุ่มวัยรุ่นยุค 2000s
มาจนวันนี้รองเท้าบูทที่อยู่ในใจของใครหลายคนมาอย่างยาวนาน ได้กลายเป็นมากกว่ารองเท้าแฟชั่น แต่ยังบ่งบอกได้ถึงตัวตนในความกล้าที่จะแตกต่าง ไม่ว่าจะกลุ่มวัยรุ่น ศิลปิน หรือแม้แต่แฟชั่นนิสต้าระดับโลก ก็ต้องมี Dr. Martens ติดไว้ เพื่อบ่งบอกสไตล์ของตัวเองอย่างเปิดเผย
SOURCE :
https://www.drmartens.com/us/en/?srsltid=AfmBOooftVrLDjhkIO3azx1PGjj3KBhvZXRbvQ1rQt-ijzDBuGf0zYOk
