Château Latour ไวน์ที่เหลือน้อยลงทุกปี แต่ราคากลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

Château Latour ไวน์ที่เหลือน้อยลงทุกปี แต่ราคากลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
Château Latour 1961 หนึ่งในไวน์หายากระดับโลก ที่ได้รับคะแนน 100/100 จาก Robert Parker พร้อมข้อมูลราคาปี 2025 และเหตุผลที่นักลงทุนทั่วโลกต้องการครอบครอง

ในโลกของ “ไวน์เพื่อการลงทุน” ชื่อของ Château Latour ยืนหนึ่งในฐานะ “สินทรัพย์ที่มีค่าตลอดกาล” โดยเฉพาะในกลุ่ม First Growth ของ Bordeaux ที่ได้รับการจัดอันดับมาตั้งแต่ปี 1855 ซึ่ง Latour ไม่เพียงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ยังมีการบริหารจัดการไวน์ที่เฉียบขาด จนทำให้ ไวน์รุ่น Grand Vin ของ Château Latour กลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก ทั้งที่มีจำนวนลดลงทุกปี


ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา Château Latour ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ คือ หยุดขายไวน์แบบ En Primeur (การจองล่วงหน้าก่อนบรรจุขวด) และหันมาควบคุม การปล่อยไวน์เข้าสู่ตลาดอย่างเข้มงวด โดยปล่อยเฉพาะเมื่อไวน์พร้อมดื่มเต็มที่แล้วเท่านั้น

ผลที่เกิดขึ้นคือ ปริมาณการผลิตต่อปีลดลงเหลือเพียง 10,000–12,000 cases เท่านั้น ขณะที่ความต้องการในตลาดโดยเฉพาะเอเชียกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไวน์รุ่น Grand Vin กลายเป็นของหายากในแต่ละวินเทจ


เมื่อ Supply ลดลง แต่ Demand เพิ่มขึ้น  ราคาย่อมพุ่งสูงตามกฎของตลาด แต่หากจะพูดถึงวินเทจที่เป็น “ที่สุดของที่สุด” ไม่มีนักลงทุนคนไหนไม่เอ่ยถึงก็ต้องเป็น Château Latour 1961 เพราะนี่คือวินเทจที่ถูกยกให้เป็น Perfect Bordeaux ที่ได้คะแนน 100/100 จาก Robert Parker ซึ่งในช่วงที่ผลิตเป็นปีที่สภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกองุ่นที่สุด แต่กลับมีผลผลิตต่ำผิดปกติ จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านมากว่า 60 ปี ขวดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์จริง ๆ เหลือไม่ถึง 5% ของทั้งหมด

ทั้งนี้ราคาตลาดในปี 2025 ขนาด 750ml: $15,000 – $25,000 และขนาด Magnum (1.5L): $35,000 – $50,000 (ขึ้นอยู่กับ provenance และการจัดเก็บรักษา)

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า Château Latour โดยเฉพาะวินเทจ 1961 ไม่ได้เป็นเพียงไวน์ชั้นยอดในแง่รสชาติ หากแต่เป็นตัวแทนของ “การลงทุนที่ทรงคุณค่า” อย่างแท้จริง ยิ่งนาน ยิ่งหายาก  และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ Latour มีค่าขึ้นเรื่อย ๆ


 

TAGS: #ChâteauLatour1961 #Latour1961 #ไวน์วินเทจ #ไวน์Bordeaux