ดร. ท็อป–ณัฐเศรษฐ์ เปิดใจเล่าเบื้องหลังนาฬิกาแต่ละเรือนในชีวิต ที่ไม่ได้สะสมเพื่อเก็งกำไร แต่เพื่อบันทึกความทรงจำและตัวตนที่แท้จริง
“นาฬิกาไม่ได้บอกเวลาอย่างเดียว แต่มันกำลังบอกว่า... คุณเป็นใคร”...
กลางวงสนทนาเช้าวันหนึ่งที่พวกเราทีมงาน The Better Social ได้ไปเยือนถึงบ้านของ ดร.ท็อป-ณัฐเศรษฐ์ พูนทรัพย์มณี ‘Patek Philippe 3970 Rose Gold บนข้อมือของเขาก็สะดุดตาเข้าอย่างจัง หลังจากนั้นการสนทนาจึงเริ่มเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังของนาฬิกาแต่ละเรือนในชีวิตเขา จากของขวัญวัยอนุบาล ไปจนถึงการเข้าใจตัวเองผ่านการสะสมนาฬิกา ที่ไม่ใช่แค่ความสวยงามจากภายนอกเพียงอย่างเดียว
เติบโตมาในบ้านที่หายใจเข้า-ออกเป็น "นาฬิกา"
“กึ่งเหมือนโดนบังคับให้ชอบครับ” ...เขาหัวเราะเมื่อนึกถึงวัยเด็ก เพราะธุรกิจครอบครัวของเขาทำกล่องนาฬิกาแบรนด์เนมหรู ไปจนถึงดิสเพลย์ในตู้โชว์นาฬิกา ซึ่งทุกวันอาทิตย์เขาจะต้องไปนั่งเล่นที่ร้าน
ความเชื่อมโยงนาฬิกากับตัวเขานอกจากครอบครัวทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้แล้ว ของขวัญชิ้นแรกในชีวิตที่ได้รับก็ยังเป็นนาฬิกา ซึ่งเขาบอกว่าได้รับตอนอยู่อนุบาล และจำได้แค่เพียงว่าเป็นนาฬิกาสายยางสีแดง
จนกระทั่งเติบโตมาเป็นวัยรุ่น ความหลงใหลในนาฬิกาก็เริ่มมีมากขึ้น และไม่ใช่การบังคับให้ชอบเหมือนสมัยเด็กๆ เขาเริ่มคิดว่าจะซื้อนาฬิกาด้วยเงินตัวเอง เขาบอกว่าในช่วงยุค 2000 เขาเริ่มวางบัตเจตอย่างจริงจัง เพราะอยากสปอยล์ตัวเองบ้างหลังจากทำงานหนัก ซึ่งเรือนแรกที่เขาเลือกก็คือ Rolex Explorer II Steve McQueen
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจขาย Tag Heuer รุ่นก้างปลา ซึ่งเป็นเรือนที่พ่อแม่ซื้อให้ เพื่อไปซื้อ Rolex Daytona เรือนแรกในชีวิต โดยได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่คนสนิท ทั้ง ๆ ที่เรือนนั้นแพงเกินบัตเจตไปเป็นแสน
ตอนนั้นเขามองว่า Rolex เชย เพราะไม่รู้จักประวัติดีพอ แต่พอได้เรือนนี้มา กลับกลายเป็น Turning point ที่ทำให้เขาเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง และเข้าใจว่านาฬิกาไม่ได้มีแค่หน้าตา แต่มันมี “ที่มา” และ “คุณค่า”
Passion vs Investment
"สมัยก่อนเราซื้อนาฬิกาเพราะชอบ ตอนนี้หลายคนซื้อเพราะมันเป็น Investment แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าการซื้อนาฬิกา มันไม่ใช่ว่าใครชอบหรือซื้ออะไรและเราต้องซื้อตามอย่างเดียว สำหรับผมมันต้องมีความหมายกับเราด้วย”
เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยนำ Paul Newman ไปแลกกับ Patek Philippe 5070 และถึงแม้วันนี้ราคาของ Paul Newman จะพุ่งขึ้นสูงกว่า เขาก็ไม่รู้สึกเสียดาย เพราะในตอนนั้นPatek Philippe 5070 มัน "Full Feel" สำหรับตัวเขามากกว่า
“ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่นักเทรดมืออาชีพ ผมซื้อเพื่อใส่ และเติมเต็มคอลเลกชั่นที่มี และมันคือความสุขของตัวผมเอง”
ความหลงใหลในนาฬิกาวินเทจ สำหรับตัวเขา ไม่ใช่แค่ความสวยหรือเพราะหายากอย่างเดียว แต่นาฬิกาเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องราว ซึ่งแต่ละเรือนก็ไม่เหมือนกัน อาจจะมีร่องรอยบ้าง ไม่ได้สวยสมบูรณ์แบบบ้าง แต่มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้แต่ละเรือนมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
“ผมว่านาฬิกาวินเทจที่เพอร์เฟกต์แบบ 100% มันไม่มีหรอก”... เขาพูดประโยคนี้ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองที่เคยเกิดขึ้นกับนาฬิกาที่เขาใส่เป็นประจำและเป็นอีกเรือนที่เขารักว่า
“มีครั้งหนึ่งผมใส่ Explorer II กำลังจะไปขึ้นเครื่อง แล้วต้องถอดเข้าตรวจ X-ray ที่สนามบิน พอถาดเลื่อนผ่านเครื่องไป หน้าปัดก็เกิดรอยจากการกระแทกกันในถาด อาทิตย์นั้นผมนอนไม่หลับเลยครับ” ... เขาหัวเราะ แต่ก็เข้าใจดีว่า นาฬิกาทุกเรือนก็คงย่อมมีร่องรอยของ ‘การเดินทาง’ ให้ได้นึกถึงความทรงจำ
แต่พอพูดถึงเรื่องการสะสมนาฬิกาเพื่อการลงทุน เขามองว่าทุกวันนี้มีหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก อย่างเช่นสมัยก่อนผู้หญิงไม่ค่อยใส่นาฬิกาผู้ชาย แต่ยุคนี้หันมาใส่กันเยอะมากขึ้น เพราะทุกคนรู้ว่า นาฬิกาผู้ชายมูลค่ามันไม่ค่อยตก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังเชื่อว่า การซื้อนาฬิกา ถ้าซื้อด้วย Passion ยังมีความสำคัญมากกว่าการซื้อเพื่อ Investment เพราะต่อให้นาฬิการาคาตก แต่มันก็ยังอยู่บนข้อมือเรา ไม่ได้หายไปไหน พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่าวันนึง นาฬิกาที่เขาสะสมไว้ทั้งหมดนี้ ก็คงจะมีบ้างที่อาจจะเอาไปประมูล ซึ่งก็คงไม่ได้ตัดสินใจง่ายเท่าไหร่ เพราะทุกเรือนที่เขามี ทั้งหมดคือสิ่งที่เขารักและเลือกไม่ได้ว่าเรือนไหนคือที่สุดในใจของเขา
“วันหนึ่งผมอาจเอานาฬิกาไปออคชั่นก็ได้ แต่ตอนนี้ มันคือของที่บอกเรื่องราวของผม และผมก็อยากให้ทุกคนเลือกเรือนที่มีสตอรี่แบบนั้นกับตัวเอง” – ดร.ท็อป ณัฐเศรษฐ์
ติดตามการสัมภาษณ์ได้ในรายการ Insdie the circle ทาง FB : The Better Social , Youtube : The Better