ไม่ใช่เพียงแต่ใช้บอกเวลาเท่านั้น แต่ Rolex Explorer II Ref. 1655 เป็นหนึ่งในนาฬิกาที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบจากการทำงานของนักสำรวจถ้ำในอดีต จนกลายเป็นของที่นักสะสมอยากได้มาครอบครองจนถึงวันนี้
Rolex Explorer II Ref. 1655 หนึ่งในเรือนเวลาที่ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากการทำงานของนักสำรวจถ้ำ จนกลายเป็นอีกหนึ่งนาฬิกาที่นักสะสมทั่วโลกยังอยากได้มาครอบครอง แม้จะผ่านเวลามานานกว่า 50 ปีแล้ว
ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 60s ถึงต้นยุค 70s การสำรวจถ้ำกำลังเป็นกระแส โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป อย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา การสำรวจถ้ำในแต่ละครั้งต้องใช้เวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ และแทบจะไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างจากภายนอก ทำให้ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นๆ เป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ Rolex Explorer II Ref. 1655 นาฬิการุ่นแรกในตระกูล Rolex Explorer II ที่สามารถดูเวลาได้ แม้จะอยู่ในที่มืดก็ตาม
Rolex Explorer II Ref. 1655 เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1971 มีการดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเข็มชั่วโมงสีส้ม ส่วนตัวเรือนเป็นสเตนเลส มาพร้อมกับคุณสมบัติที่สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 100 เมตร
นาฬิกาเรือนนี้ ยังถูกตั้งฉายาโดยนักสะสมว่า "Disco Dial" ด้วยหน้าปัดที่ถูกออกแบบมาค่อนข้างพิเศษ ที่ดูคล้ายกับฟลอร์เต้นรำของดิสโก้ในยุค 70s จากบริเวณ 12 นาฬิกา ที่มีเครื่องหมายสามเหลี่ยมหัวกลับ และตำแหน่ง 6 และ 9 นาฬิกา ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แม้ว่าปัจจุบันนาฬิการุ่นนี้จะเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมาก แต่การเปิดตัวของ Rolex Explorer II Ref. 1655 กลับได้รับเสียงตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร ทาง Rolex จึงเลือกนักแสดงระดับฮอลลีวูดอย่าง Steve McQueen ที่กำลังมีชื่อเสียงในช่วงปี 60s-70s มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และทำให้นาฬิการุ่นนี้มีชื่อเรียกติดปากอีกชื่อว่า "Rolex Steve McQueen"
ตลอด 15 ปี ก่อนที่นาฬิการุ่นนี้จะหยุดผลิตไปในปี 1985 ทาง Rolex ได้พัฒนาและมีการปรับรูปแบบหน้าปัดถึง 7 แบบ แบ่งเป็น 5 แบบผลิตโดย Stern และ 2 แบบผลิตโดย Beyeler ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความหายากและมูลค่าของนาฬิกาอีกด้วย
หน้าปัด 5 แบบที่ผลิตโดย Stern
Mark I หรือ MK1 เกิดขึ้นประมาณปี 1971-1972 : โลโก้ ROLEX ตรงตัวขาของตัว R มีส่วนโค้งมน มีโลโก้มงกุฏขนาดใหญ่ที่ 12 นาฬิกา มี "T SWISS T" ด้านล่างหน้าปัด และตัวอักษรบอกโมเดลและคำว่า "EXPLORER II" ตัวหนา
Mark II หรือ MK2 เกิดขึ้นประมาณปี 1972-1974 : โลโก้มงกุฏมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่น Mark I เล็กน้อย ตัว "R" ใน "ROLEX" เริ่มมีเส้นตรงมากขึ้น ขนาดของตัวเลขที่หนาขึ้นบนขอบ Bezel
Mark III หรือ MK3 เกิดขึ้นประมาณปี 1974-1977 : โลโก้มงกุฏจะขนาดกว้างและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ขนาดของตัวเลขบนขอบ Bezel มีขนาดบางลง และข้อความ “SUPERLATIVE CHRONOMETER OFFICIALLY CERTIFIED” ที่ตัวอักษร C ของ CHRONOMETER และ CERTIFIED มีการจัดเรียงกันในแนวตั้งที่ตรงกัน
Mark IV หรือ MK4 เกิดขึ้นประมาณปี 1977-1980 : หน้าปัดรุ่นนี้ตัวหนังสือจะคมชัดขึ้น Font ของ "EXPLORER II" บางลงกว่ารุ่นก่อน ข้อความคำว่า “PERPETUAL” เหมือนกับหน้าปัดรุ่น MK2 และลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของหน้าปัดรุ่นนี้ คือ การสลัก “T SWISS < 25 T” ด้วยแบบอักษรเซอริฟ
Mark V หรือ MK5 เกิดขึ้นประมาณปี 1980-1985 : หน้าปัดรุ่นสุดท้ายของนาฬิการุ่นนี้ ข้อความว่า "SWISS - T < 25" หรือ "T SWISS T" ยังคงอยู่ด้านล่างหน้าปัด โลโก้มงกุฏและข้อความต่างๆ มีการจัดวางที่สมดุลที่สุด โดยรวมแล้วเป็นหน้าปัดที่ดูมีความสมบูรณ์มากที่สุดจากทุกรุ่น
หน้าปัด 2 แบบที่ผลิตโดย Beyeler
หน้าปัด Service Dials หรือ หน้าปัดสำหรับเปลี่ยนใหม่ตอนซ่อม มีด้วยกัน 2 รุ่น ประกอบด้วย Mark VI (MK6) และ Mark VII (MK7) เป็นหน้าปัดที่ถูกออกแบบให้ใช้ทดแทนหน้าปัดเก่าที่เสียหาย โดยรายละเอียดหน้าปัดจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น มีการใช้สี Lume ใหม่ หรือสีที่เรืองแสง และตัวหนังสือที่คมชัดกว่า แต่ทั้ง 2 รุ่นยังถือว่าเป็นนาฬิกาของแท้จาก Rolex แม้จะไม่มีมูลค่าสูงเท่า Mark I-V ก็ตาม
จากเรื่องราวของ Rolex Explorer II Ref. 1655 ที่เป็นเหมือนหนึ่งในไอเทมของนักสำรวจถ้ำ กับดีไซน์หน้าปัดที่ถูกปรับเปลี่ยนด้วยรายละเอียดเพียงเล็กน้อยในแต่ละรุ่น แต่กลับมีความพิเศษอย่างมาก จนสามารถเดินทางผ่านเวลาและยังกลายเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่นักสะสมทั่วโลกตามหา
ภาพ : italianwatchspotter
เรื่อง : Pornthida Jedeepram