หลายคนอาจที่เคยบริจาคโลหิตไม่ผ่านเพราะสาเหตุเลือดจาง อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีภาวะโลหิตจาง ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้
โลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดง หรือปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดน้อยกว่าปกติ โดยปกติเม็ดเลือดแดงในร่างกายของคนเราจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 120 วัน และจะถูกทำลายที่ม้าม ซึ่งการสร้างและการทำลายเม็ดเลือดแดงจะต้องอยู่ในภาวะที่สมดุล แต่หากเสียสมดุลดังกล่าว ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางในผู้บริจาคโลหิต
โดยอาการแสดงอาจมากหรือน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับเม็ดเลือดแดงในร่างกายและความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะโลหิตจางของแต่ละคน หากโลหิตจางขั้นรุนแรงรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและสมอง ทำให้หัวใจทำงานหนักเพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนจากเลือดมากขึ้น จนถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้ ทั้งนี้ พบว่าสาเหตุสำคัญของภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กมี 3 ประการ ดังนี้
1. ผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ซึ่งแบ่งสาเหตุได้ 2 ชนิด คือ
- ได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป เช่น รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย หรือไม่รับประทานธาตุเหล็กเสริมหลังบริจาคโลหิต
- มีความผิดปกติในกระบวนการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น ผู้ที่รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือแคลเซียม
2. ผู้บริจาคโลหิตที่สูญเสียธาตุเหล็กมากกว่าปกติ ซึ่งแบ่งสาเหตุได้ 2 ชนิด คือ
- การเสียธาตุเหล็กฉับพลันจำนวนมาก เช่น ผ่าตัดใหญ่ คลอดบุตร แท้งบุตร ได้รับอุบัติเหตุ หรือประจำเดือนมามากผิดปกติ
- การบริจาคโลหิตต่อเนื่อง โดยไม่ได้รับประทานธาตุเหล็กทดแทนอย่างเพียงพอ
3. ผู้บริจาคโลหิตที่มีความผิดปกติในกระบวนการสร้างเม็ดเลือด ผู้ป่วยทางโลหิตวิทยา เช่น โรคโลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
สาเหตุของภาวะโลหิตจางสำหรับผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ และมีการสูญเสียธาตุเหล็กจากการบริจาคโลหิตต่อเนื่อง โดยไม่รับประทานธาตุเหล็กทดแทนเป็นสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้เบื้องต้น ทั้งนี้ ผู้บริจาคโลหิตเองอาจไม่ทราบ หรือไม่รู้ตัว
เช็กสัญญาณภาวะโลหิตจาง หากมีอาการเหล่านี้เป็นไปได้ว่ากำลังมีภาวะโลหิตจาง ได้แก่
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- ตาเหลือง ตัวเหลือง
- ตัวซีด จนมีคนทักว่าซีดลง เช่น หน้าซีด เยื่อบุตาซีด และริมฝีปากซีด
- หายใจลำบากขณะออกแรง
- มึนงง วิงเวียนศีรษะ
- เป็นลม หมดสติ
- เจ็บหน้าอก ใจสั่น
การเฝ้าระวัง หรือสังเกตตนเอง จึงเป็นสิ่งจำเป็นทุกครั้งที่มีการบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับคำแนะนำให้ รับประทานธาตุเหล็กหลังการบริจาค ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึง เรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีธาตเหล็กสูง
สำหรับผู้ป่วยโลหิตจางที่ไม่มีอาการป่วยของโรคเรื้อรังอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคไต ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู ไตหมู นม ไข่ ตำลึง กะหล่ำ มะเขือเทศ ผักโขม ใบชะพลู กวางตุ้ง เป็นต้น พร้อมทั้งรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพราะจะช่วยให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น
ทั้งนี้หากเป็นโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยควรเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพราะอาจทำให้เกิดการดูดซึมและสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายเยอะเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ และควรเลือกรับประทานอาหารโปรตีนสูงแทน
สำหรับผู้บริจาคโลหิตที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการทานยาธาตุเหล็ก ได้แก่ อาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก อาจลองรับประทานธาตุเหล็กพร้อมหรือหลังมื้ออาหารทันที