การพิชิตโรคสมองเสื่อมไม่ใช่เป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง เผยงายวิจัยพบ “พิชิตสมองเสื่อมด้วยยาแก้ไอ”
นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์บทความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “พิชิตสมองเสื่อมด้วยยาแก้ไอ” โดยระบุใจว่า
เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโกหก อิงนิยาย แต่เกิดขึ้นแล้ว และถือว่าเป็นข่าวดีในปี 2023 นี้ และที่หมอจะนำมาเรียนให้ทราบในอันดับต่อ ๆ ไป ก็จะมีข่าวดีอีกหลายเรื่อง ในการพิชิตสมองเสื่อม
สมองเสื่อมที่ว่านี้เกิดจากโปรตีนพิษบิดเกลียว (misfolded protein) ที่มีชื่อต่าง ๆ นานา และทำให้เกิดโรคที่เรารู้จักกันดี ตั้งแต่โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และสมองเสื่อม ที่มีชื่อหรือที่หมอเรียกว่ายี่ห้ออื่นอีกมากมายหลายชนิด
ปัจจุบัน เราทราบกันดีแล้วว่า วิธีการที่จะป้องกันไม่ให้อาการของสมองเสื่อมโผล่ขึ้น แม้ว่าจะมีโปรตีนพิษเหล่านี้อยู่ในสมองแล้วก็ตาม ซึ่งขณะนี้เราสามารถตรวจจากเลือดได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำไขสันหลัง หรือไปทำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กเอ็มอาร์ไอร่วมกับการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพ็ทสแกน
กระบวนการเหล่านี้ได้แก่การควบคุมอาหาร เข้าใกล้มังสวิรัติ งดแป้ง งดเนื้อสัตว์บก หันมาบริโภคปลาและยังได้โปรตีนเพิ่มจากถั่ว และกิจกรรมทำให้สมองขยันตลอด ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแต่เล่นเกมซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่มีการโต้ตอบใช้ความคิด มีการวางแผน ยกตัวอย่างเช่นเล่นไพ่กินเงิน เต้นรำกับคู่เต้น ร้องเพลงใหม่ให้ไม่คร่อม จังหวะและเสียงไม่หลง รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
กระบวนการเหล่านี้ สามารถปฏิบัติได้โดยไม่เสียเงิน และต่อจากนี้ สามารถควบคู่ได้กับยาพื้น ๆ ที่ใช้กันมานาน แสนนานแต่โบราณ ที่เราจัดเป็น repurpose drug โดยที่ยาเหล่านี้ใช้ในจุดประสงค์อื่นแต่มีการค้นพบว่าสามารถออกฤทธิ์ในการต่อต้านกลไกของโรคอื่น ๆ ได้
ยาตัวที่หมอจะมาเล่าให้ฟังในตอนนี้ เป็นยาละลายเสมหะ ดังนั้นจึงทำให้ระบายเสมหะออกไปได้และไอลดลง
ยาดังกล่าวนี้ ชื่อ Ambroxol ที่มีการใช้มาตั้งแต่ปี 1970 โดยที่มีการประกาศความสำเร็จ ในการใช้กับโรคสมอง จากการศึกษาตั้งแต่หลอดทดลอง สัตว์ทดลองและการวิจัยในมนุษย์ ตั้งแต่ในระยะที่หนึ่ง และที่สองและขณะนี้เริ่มการศึกษาในมนุษย์เป็นระยะที่สาม โดยคณะทำงานจาก Queen Square สถาบันทางประสาทวิทยา University College of London นำโดย ศาสตราจารย์ Schapira
การศึกษาทางคลินิก ในระยะที่สอง โดยคณะทำงานนี้ มีการตีพิมพ์ในวารสาร สมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA) ตั้งแต่ปี 2020 ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ยาแก้ไอดังกล่าวสามารถซึมผ่านเข้าสมองและเพิ่มปริมาณและการทำงานของโปรตีนที่ชื่อว่า GCase (glucocerebrosidase) ในสมอง ซึ่งทำงานโดยช่วยให้เซลล์มีการกำจัดขยะโปรตีนทั้งหลายแหล่ออก ในกรณีของโรคพาร์กินสันก็คือกำจัดโปรตีน alpha synuclein ออก
ความที่ยาแก้ไอดังกล่าว ได้ใช้กันมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่าขนาดของยาที่ใช้จะมีปริมาณสูงมากกว่าที่ใช้ในการละลายเสมหะตามปกติ แต่จากการศึกษาทางคลินิกในระยะที่หนึ่งและระยะที่สอง พบว่ามีความปลอดภัย โดยที่ผลข้างเคียงอาจมีบ้าง คืออาการลมในกระเพาะ คลื่นไส้ อาจพะอืดพะอมบ้าง แต่ไม่กัดกระเพาะและหายไปเอง โดยสามารถป้องกันได้จากกินพร้อมอาหารด้วยกัน
การศึกษาในอังกฤษ เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2017 จนถึงวันที่ 25 เมษายน 2018 ผลของการศึกษาพบว่าตัวยา Ambroxol สามารถผ่านผนังกั้นระหว่างเส้นเลือดกับสมองได้และทำให้ สามารถออกฤทธิ์ในสมอง โดยตรวจพบได้ในน้ำไขสันหลังคนป่วยที่มีและไม่มียีนส์นี้ นอกจากนี้ยาดังกล่าวจะไปจับกับ เอ็นไซม์ เบต้า ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งระดับและการทำงานของโปรตีนนี้ จากการตรวจในน้ำไขสันหลัง รวมทั้งระดับของ alpha synuclein โดยที่ระดับในน้ำไขสันหลังสูงขึ้น ซึ่งแสดงว่ามีการทำงานเพิ่มขึ้นในเซลล์สมองและผลักโปรตีนพิษออกจากสมองเข้าสู่น้ำไขสันหลัง
กลไกการจัดการ ของยา Ambroxol ต่อ โปรตีนพิษ ประกอบไปด้วยหลายกระบวนการ และขั้นตอน ด้วยกัน โดยยาไปเพิ่ม การทำงานของ GCase ในเซลล์สมอง และแม้แต่ในคนไข้ที่มียีนส์ผิดปกติ ซึ่งต่อต้านการทำงาน ของระบบนี้ก็ตาม ตัวยาก็ยังสามารถสู้ได้ โดย ผ่านทาง transcriptional factor EB pathway และการกระตุ้น lysosomal exocytosis และสามารถแก้ความผิดปกติของ posttranslational folding ในคนที่มียีนส์ผิดปกติได้ด้วยซ้ำ และทำให้ระบบกู้ภัยคลี่เกลียว ของโปรตีนพิษ และการกำจัดขยะโปรตีนพิษเหล่านี้ (ถ้าไม่สามารถกู้ได้) ออกไปทิ้งได้หมดจด
ข้อพิสูจน์ อีกอย่างหนึ่งของ Ambroxol ก็คือ การสร้างเซลล์จำลองของสมอง (neurosphere) จากสเต็มเซล adipose-derived neural crest ที่พัฒนาจาก เซลล์ของคนไข้พาร์กินสันที่มีและไม่มีรหัสพันธุกรรมที่ผิดปกติของ GBA1
กล่าวโดยสรุปขณะนี้ การพิชิตโรคสมองเสื่อมไม่ใช่เป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม รวมทั้งมียาตัวอื่น ๆ ที่สามารถจับต้องได้