นโยบายศก. ไม่มาตามนัด ความเชื่อมั่นรัฐบาลเสื่อม

นโยบายศก. ไม่มาตามนัด ความเชื่อมั่นรัฐบาลเสื่อม
รัฐบาลเสี่ยงความเชื่อมั่นวูบ เมื่อนโยบายเศรษฐกิจที่หาเสียงเปลี่ยนไป บอกให้หลงว่า “ทำทันที” แต่ความเป็นจริง “ไม่ได้ทันที” ต้องรอกันข้ามปี

รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ยังไม่ได้เริ่มทำงานเต็มตัว นโยบายเศรษฐกิจที่เคยเรียกคะแนนนิยมสมัยหาเสียงเลือกตั้ง กลับมาเป็นของร้อนในมือ จะทำตามพูดสัญญาไว้ก็ยาก จะโยนทิ้งก็ไม่ได้ จึงเป็นประเด็นเจ้าปัญหาที่ทำให้รัฐบาลมีคะแนนความนิยมตกลงอย่างรวดเร็ว

เรื่องแรก การแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่นบาท ให้กับประชาชน 50 ล้านคน ใช้เงิน 5 แสนล้านบาท รัฐบาลเศรษฐาบอกว่าได้อย่างเร็วสุดคือ 1 ก.พ.​ ปีหน้า

นอกจากนี้ นโยบายนี้ก็ยังสับสนอลม่านแจกทีเดียว 1 หมื่นบาท จะให้ซื้อของทีเดียวหมดเกลี้ยงเลยได้หรือไม่ ที่สำคัญรัฐบาลยังมืดแปดด้าน ว่า จะเอาเงิน 5 แสนล้านบาทมาจากที่ไหน เพราะเงินภาษีทุกวันนี้ยังเก็บไม่พอกับรายจ่าย ยังไม่รวมกับปัญหาอีกนับไม่ถ้วนที่ไปพูดมัดตัวเองไว้ว่า การแจกเงินจะทำเป็นกระเป๋าดิจิทัล บนระบบบล็อกเชน ทั้งๆ ที่ทำบนแอปเป๋าตัง ก็ได้แต่ไม่ยอมทำ

ของร้อนตามมาติดคือ การลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เจ้ากระทรวงคมนาคมออกมาบอกเสียงดังฟังชัดต่างกับตอนหาเสียงไว้ฟ้ากับดิน ว่าเรื่องนี้ไม่เร่งด่วน ไม่บรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาล เพราะต้องใช้เงินงบประมาณด้านอื่นก่อน และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อสรุปผลการเจรจาศึกษาจะลดได้จริงหรือไม่

แค่สองนโยบายนี้ ก็ทำเอาแฟนคลับใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทที่คิดว่าอย่างช้าสักเดือนสองเดือนจะได้ใช้ต้องรอไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า ขณะที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คิดว่าปีนี้จะได้ขึ้นรถไฟถูก ต้องรอลุ้นไปอีก 2 ปี ว่าจะฝันเป็นจริงหรือเป็นฝันสลาย เพราะไม่มีใครเชื่อว่านโยบายนี้จะทำได้ เพราะเป็นเรื่องเก่าที่หลายรัฐบาลหาเสียงไว้แต่ก็ไม่ใกล้ความสำเร็จเลย

นอกจากนี้ ยังเรื่องนโยบายการขึ้นค่าแรงวันละ 600 บาท ที่ทำภายใน 4 ปี ก็ไม่มีไทม์ไลน์ว่าจะขึ้นแต่ละปีเท่าไร ซึ่งหากอยู่ไม่ครบ 4 ปี การขึ้นค่าแรงที่หาเสียงไว้ก็ล้มหายไปด้วย

หรือจะเป็นนโยบายลดค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ทันที ก็เป็นการหาเสียงแบบให้ความหวังประชาชนไปไกลเกินความจริง ว่า จะได้ใช้น้ำมันทุกประเภทถูกลงตลอดไป ซึ่งในความเป็นจริงทำได้ยาก เพราะที่ผ่ารมาการตรึงราคาน้ำมันดีเซลก็ทำให้กองทุนน้ำมันเป็นหนี้แตะแสนล้านบาท ลดภาษีรัฐสูญรายได้หลายแสนล้านบาท

ซึ่งราคาน้ำมัน และไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามกลไกต้นทุนการตลาด การทำให้ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ต้องไม่ไปแทรกแซงกลไกตลาดให้บิดเบี้ยว เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้ราคาน้ำมัน และไฟฟ้าถูกได้จริง แต่รัฐบาลก็ต้องจ่ายแทน ไม่ว่าผ่านการหนุนจากเงินกองทุนน้ำมัน หรือเงินภาษีของประชาชน

ดังนั้น เหมาเข่งนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลที่เคยหาเสียงโดนใจประชาชนเฝ้ารอว่าจะได้ทันที แต่รัฐบาลเริ่มแพลมออกมาแล้วว่าทำจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าได้ทันที ต้องรอถึงปีหน้า หรือ 2-4 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะมีอายุยาวทำได้ตามสัญญาไว้หรือเปล่า

เพราะเริ่มต้นเป็นรัฐบาล ยังไม่ทำงานจริงนโยบายหาเสียงที่บอกว่าทำทันที ดูเหมือนจะมีบาลีออกมาเรื่อยๆ ว่า ต้องดูก่อน ต้องศึกษาก่อน ต้องหาเงินก่อน ว่ามีให้ทำได้มากน้อยขนาดไหน ทำให้รัฐบาลเริ่มเสียคะแนนนิยมไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ซึ่งมาตรการแจกเงินดิจิทัล ลดค่าไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย การขึ้นค่าแรงวันละ 600 บาท และการลดราคาน้ำมัน และไฟฟ้าทันที ยิ่งถูกลากยาวออกไปทำได้ช้าเท่าไร รัฐบาลก็จะเสื่อมความเชื่อมั่นเร็วมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน