นักลงทุนผวาหนัก เศรษฐกิจไทยเหมือนถูกปิดสวิตซ์ เหตุตั้งรัฐบาลใหม่ถูกลากยาวไม่เห็นกำหนด จนอาจหมดความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย
ถึงเวลานี้ ปัญการการเมืองจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้ เป็นปัจจัยกระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี แต่มีเครื่องยนต์ด้านการท่องเที่ยวตัวเดียวที่ทำงาน ส่วนการส่งออกชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกไม่ดี การใช้จ่ายและการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐสงบนิ่ง เพราะรอหน้าตารัฐบาลใหม่
ตั้งแต่การเลือกตั้งเดือน พ.ค. 2566 แวดวงเศรษฐกิจธุรกิจ ต่างคาดหวังว่า ประเทศไทยจะได้รัฐบาลใหม่เริ่มทำงานได้จริงๆๆๆ อย่างช้าในเดือน ก.ค. นี้ หรือช้าถึงที่สุดหัวใจจะทำใจได้ ก็ขีดเส้นตายไว้ว่าต้องไม่เกินเดือน ส.ค. นี้
แต่การตั้งรัฐบาลใหม่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน กลับไม่เห็นวี่แววจะจบได้เร็ว การได้รัฐบาลใหม่ทำงานได้จริง ๆๆๆ ภายในเดือน ส.ค. นี้ เลื่อนลางเหมือนเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เสียอีก ซึ่งหมายถึงว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดไว้อย่างแน่นอน
ปัจุบันเศรษฐกิจซึมๆ ทรงๆ และเริ่มจะทรุดๆ เพราะการบริหารงานของรัฐบาลเก่า ทำงานแค่รอส่งไม้ต่อให้รัฐบาลใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำมาก็หมดอายุไปหมดแล้ว ไม่ได้มีมาตรการใหม่ๆ เข้ามาเติมให้เศรษฐกิจกระชุ่มกระชวย
นอกจากนี้การตั้งรัฐบาลใหม่ช้า ยังทำให้นักลงทุน ภาคธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของรัฐ คาดว่า งบประมาณปี 2567 วงเงินกว่า 3 ล้านล้านบาท ที่จะต้องเริ่มใช้ 1 ต.ค.2566 ล่าช้าออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งนั้นอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐบาลใหม่เริ่มทำงานได้ภายในเดือน ส.ค. นี้ ซึ่งหากล่าช้าออกไปอีก งบประมาณก็ถูกลากช้าออกไปเป็นเงาตามตัวด้วย
งบประมาณ 2567 ล่าช้าไม่กระทบกับงบใช้จ่ายประจำโดยเฉพาะการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ เพราะใช้ตามร่างงบประมาณของปีเก่าไปได้ก่อน แต่งบลงทุนปี 2567 ที่มากถึง 6-7 แสนล้านบาท จะทำไรไม่ได้เลย นั้นหมายความว่าการลงทุนภาครัฐจะสะดุดอย่างรุนแรง และส่งผลต่อไปถึงการลงทุนภาคเอกชะงักหรือหยุดนิ่งไปด้วย ซึ่งจะกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมอย่างรุนแรง
สำนักวิจัยเศรษฐกิจภาคเอกชนต่างๆ รวมถึงสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมไทย ประมาณการณ์ไว้ว่า หากได้รัฐบาลใหม่ไม่เกินเดือน ส.ค. นี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้รับดับ 3% ขึ้นไปไม่ยาก
แต่หากการตั้งรัฐบาลใหม่ถูกถูลู่กูกังกันไปๆ มาๆ ไม่เห็นอนาคตหน้าตารัฐบาลใหม่ออกไปนานแแบบไร้กำหนดเช่นนี้ ผลกระทบต่างๆ ข้างต้น ก็จะลากให้เศรษฐกิจไทยต่ำกว่า 3% ไปอยู่ที่ระดับ 2% ต้นๆๆๆ ได้อย่างไม่อยากเย็น
ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้น การชิงเหลื่อมทางการเมืองกันเอาเป็นเอาตายไม่มีใครยอมใคร โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ การหวังเอาชนะทางการเมืองโดยจะลากการตั้งรัฐบาลใหม่ออกไปนานเป็น 10 เดือน หรือ ไปเป็นปี เชื่อว่าถึงตอนนั้นไม่มีใครกล้าคาดเดาความเสียหายทางเศรษฐกิจไทยจะยับเยินขนาดไหน
การตั้งรัฐบาลใหม่ได้ช้า ที่น่ากลัวที่สุดไม่ได้การเบิกจ่ายล่าช้า หรือไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนเท่านั้น แต่ผลกระทบกับเศรษฐกิจที่รุนแรงประเมินความเสียหายไม่ได้ คือผลกระทบด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน การการล่าช้าออกไปไม่เกินเดือน ส.ค. เขามองว่าเป็นช่วงเวลาที่ยอมรับได้ รอได้
แต่หากช้ากว่านั้นและคิดกันถึงขนาดลากกันเลยข้ามปี เชื่อว่าความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยคงละลายมลายหายสิ้น คงไม่มีนักลงทุนไหนเขาจะอดทนรอความไม่ชัดเจนการตั้งรัฐบาลใหม่ได้ช้าขนาดนั้น นักลงทุนที่ลงทุนอยู่ใทยอยู่แล้ว คงไม่มีใครลงทุนเพิ่ม ส่วนนักลงทุนใหม่ที่รอจะขนเงินมาลงทุนในไทย คงหนีไปลงทุนที่อื่น ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีกว่าไทย มีการเมืองที่มีเสถียรภาพมากกว่าไทย
ดังนั้น นักการเมืองและพรรคการเมืองไทย ก็ต้องคิดให้หนักว่า การลากตั้งรัฐบาลใหม่ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ จนเป็นผลกระทบปิดสวิตซ์เศรษฐกิจไทย ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง จนประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความเดือนร้อน ประเทศและคนไทยได้คุ้มมากกว่าเสียหรือไม่