ส.อ.ท.ประเมินอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน แม้ยอดผลิตเดือนพ.ค.เป็นบวกจากค่ายรถเร่งผลิต EV ขณะที่มีราคาจับต้องได้ หนุนยอดขายเติบโตดี เชื่อโครงการเก่าแลกใหม่กระตุ้นยอดขาย
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์เดือนพ.ค.2568 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ร้อยละ 33.51 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 10.32 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือนจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV เพิ่มขึ้นร้อยละ 641.16 และ 130.49 ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนบีโอไอที่กำหนดให้ต้องผลิตรถ EV ในไทยตามสัดส่วน 1.5 เท่าของจำนวนรถที่นำเข้ามาภายในปี 2568
ขณะที่การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.88 รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 138.65 ส่งผลให้ภาพรวม 5 เดือน (ม.ค. – พ.ค.) มีจำนวนทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง ร้อยละ 7.82เทียบกับปีก่อน
สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน เท่ากับร้อยละ 62.72 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 1.70 ส่วน 5 เดือนแรกผลิตได้ 390,095 คัน เท่ากับร้อยละ 65.62 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 10.20 โดยรถยนต์นั่งผลิตเพื่อการส่งออก 18,627 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 26.33 และตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค.2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 73,116 คัน เท่ากับร้อยละ 34.22 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจาก ร้อยละ 42.82เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านรถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนพฤษภาคม 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 68,670 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 8.10 โดย 5 เดือนแรก ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 316,979 คัน เท่ากับร้อยละ 84.04 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.41
ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 51,889 คัน เท่ากับร้อยละ 35.65 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 38.92 โดย 5 เดือนแรก ผลิตได้ 204,397 คัน เท่ากับร้อยละ 37.28 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดล ร้อยละ 2.91
อย่างไรก็ตามยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ร้อยละ 10.67 แต่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.73 จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพิ่มขึ้นร้อยละ 118.64 234.68 และ 3.19 ตามลำดับจากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
ขณะที่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลงร้อยละ 24.84 จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำรวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก
ด้านสถานการณ์ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนพฤษภาคม 2568 ส่งออกได้ 81,071 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 23.34 แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.20 ลดลงจากการหยุดผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นที่เลิกส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรปจากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับ จึงไม่มีรถยนต์นั่งส่งออกไปในตลาดยุโรป แต่ส่งออกรถกระบะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิตรถกระบะส่งออกมากขึ้นในเดือนพ.ค.และส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางด้วย รถยนต์ HEV ยังส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.48 การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งภาษีนำเข้าของอเมริกา ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง
ส่วนการส่งออกเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ อะไหล่รถยนต์เพิ่มขึ้นดังนี้ ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนพฤษภาคม 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
• รถกระบะ 52,584 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 64.86 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 4.83
• รถยนต์นั่ง ICE 11,954 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.75 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567ร้อยละ 46.63
• รถยนต์นั่ง BEV ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 5,174 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 6.38 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 17.48
• รถ PPV 11,359 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.01 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 7.81
ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 55,163.36 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 12.54 โดยช่วง 5 เดือนแรก ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 371,272 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 13.65
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนพฤษภาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 13,935 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ค.ปีที่แล้วร้อยละ 70.65 โดยส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 12,054 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 120.97 ส่งผลให้ 5 เดือนแรกมียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 53,955 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.85
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนพฤษภาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,152 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.63 และ 5 เดือนแรกมียอดจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49
ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนพฤษภาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 2,402 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ241.19 และ 5 เดือนแรกมียอดจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยอดผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเร่งผลิตรถ EV ตามเงื่อนไขบีโอไอ รวมถึงราคาขายที่ปรับลดลงมามาก จนบางรุ่นถูกกว่ารถยนต์ประเภทสันดาป ซึ่งคาดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้จะแตะที่ 6 แสนคัน ได้ เดือนนี้
สำหรับโครงการรถเก่าแลกใหม่ที่รัฐบาลจะนำออกมาส่งเสริมการจำหน่ายรถกระบะ นั้น เป็นนโยบายที่ดี แต่อยากให้ทบทวนกรณีอายุรถกระบะที่จะนำมาแลกไม่ควรจำกัดแค่ 20-25 ปี โดยให้ขยายเป็น 20 ปีขึ้นไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ ทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลงไป
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังต้องติดตามผลการเจรจาภาษีสหรัฐจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์แค่ไหน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นปัจจัยต่อการสั่งออเดอร์รถยนต์ด้วย