MI GROUP สแกนปี68 มี 7 ปัจจัยบวกหนุนเม็ดเงินสื่อสารการตลาดมูลค่า 92,048 ล.บาท ‘สื่อดิจิทัล’มากสุดแซงทีวี 2 ปีซ้อน ลุ้นปีหน้าเห็นสัดส่วนเพิ่ม50% โอกาสช่องทางหารายได้อินฟลูฯรายเดิม-หน้าใหม่
ภวัต เรืองเดชวรชัย PRESIDENT & CEO MI GROUP บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้ยังเป็นปีแห่งความท้าทาย แต่ยังมีหลายปัจจัยบวกที่ผลักดันสู่โอกาสทองของธุรกิจสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ โดยคาดว่าในปีนี้ เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดจะมีอัตราเติบโตบวก 4.5 % อยู่ที่ 92,048 ล้านบาท จากในปี 2567 อยู่ที่ราว 87,905 ล้านบาท
โดยสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล)เติบโตสูงสุด +15% เป็นสื่ออันดับ1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 38,938 ล้านบาท และ สื่อนอกบ้านโต +10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB)
สำหรับในปีนี้แน่นอนว่า ส่วนผสมสื่อ จะเป็นดังนี้ สื่อดิจิทัล แตะ 45% ในขณะที่สื่อออฟไลน์ โดยรวม 55% ซึ่ง 3 สื่อหลักนี้ คือ สื่อ ดิจิทัล, สื่อโทรทัศน์ และ สื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญที่แตกต่างกันต่อการสื่อสารการตลาดแต่ส่งเสริมกัน
“โจทย์ยากในปีนี้ คือจะวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุดและคาดว่าในปี 2569 สื่อดิจิทัลจะมีสัดส่วนเพิ่มเกิน 50% จากในปี 2568 อยู่ที่ 42.3%” ภวัต ย้ำพร้อมเสริมว่า
ทั้งนี้ หากเจาะไปที่สื่ออันดับ1 อย่างสื่อดิจิทัล สัดส่วนการใช้เม็ดเงินใหญ่ที่สุด จะอยู่ที่การใช ้เคโอแอล(KOLs) เคโอซี (KOCs) อย่างอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีตัวตนในแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ โดยในปีนี้ทาง MI GROUP ประเมินจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทย น่าจะแตะเฉียด 3 ล้านราย หรือประมาณ 4.5% ของจำนวนประชากรไทย (เติบโตจากปี 2567 ที่เดิมอยู่ที่ 2 ลhานราย)
โดยการเติบโตหลักมาจากกลุ่มไมโคร และ นาโร อินฟลูฯ ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง และพ่อค้า แม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้ร่วมเป็นนายหน้าการทำตลาด (Affiliate Marketing) กับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาดเพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง ในขณะที่การสื่อสารการตลาดที่มุ่งการรับรู้ และการสร้างแบรนด์ (Thematic Ad) ยังคงมีความสำคัญแต่แค่เป็นรอง
“ความกังวลของธุรกิจแบรนด์สินค้าในปีนี้ จะยังต่อเนื่องจากปีก่อน คือ การมุ่งหวังยอดขายคืนกลับมาจากเม็ดเงินที่ใช้ไปมากกว่า” ภวัต กล่าว
สำหรับ กลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้
- สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ โรงแรม สายการบิน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันท่องเที่ยว
- ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน
- วิตามิน อาหารเสริม และยา
- โฆษณาจากภาครัฐ
- การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ
- อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง
- สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้
- E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada
- เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น ้าอัดลม กาแฟ
- ร้านอาหาร
- ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน
- ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
7 ปัจจันหนุนกำลังซื้อ-เศรษฐกิจ
ภวัต กล่าวว่า จากการขยายตัวเม็ดเงินในอุตสาหกรรมสื่อสารการตลาดดังกล่าว คาดมาจาก 7 ปัจจัยหลัก ดังนี้
กลุ่มเทคฯ หนุนเศรษฐกิจ
1.การพัฒนาของ AI อัจฉริยะ: Agentic AI โดยในปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ AI ทั่วโลก โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่ยุคของ Agentic AI หรือ AI ที่สามารถเรียนรู้ ปรับตัว และตัดสินใจเองได ้ คาดการณ์ว่า AI รูปแบบใหม่นี้ช่วยให้ธุรกิจไทยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดโอกาสใหม่
“ในช่วงที่ผ่านมาองค์กรธุรกิจหลายแห่งเริ่มรับเอไอเข้ามาปรับใช้ร่วมกับการทำงานฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึงกลุ่มแบรนด์สินค้า มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงาน โดยเฉพาะจากกระแสการมาของเอไอต้นทุนต่ำ DeepSeek ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้” ภวัต กล่าว
2. อุตสาหกรรมอนาคต Data Center และ Cloud Service ที่ประกาศแผนลงทุนในประเทศไทย จากความพร้อมของทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาเซียนที่เป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมกว่า 50 โครงการ (ข้อมูลโดย BOI)
“ความพร้อมด้านอินฟราสตรัคเจอร์หลายด้านของไทย เป็นโอกาสให้มีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลดเข้ามาลงทุนมากขึ้น เป็นผลดีกับหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง”
ซอฟต์เพาเวอร์ไทยยังไปได้สวย
สำหรับปัจจัยบวก ด้านที่ 3. การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็นควิก วิน (Quick Win) ฟื้นเศรษฐกิจไทย จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางมายังไทยราว 40 ล้านคน เติบโตจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 35-36 ล้านคน รวมถึง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ MICE ซึ่งเติบโตตามไปด้วย
นอกจากนี้ จากการนโยบายพร้อมประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยเป็นแห่งแรกในอาเซียนและแห่งที่2 ในเอเชีย ยังผลักดันให้นักท่องเที่ยว LGBTQ+ มีแนวโน้มวางไทยเป็นจุดหมายปลายทางการแต่งงาน (Wedding Destination) สำหรับคู่รักจากทั่วโลก และเดินทางเพื่อการพักผ่อนท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
ด้านที่ 4. ไทยขึ้นเป็น ‘ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก’ (Global Medical Hub) ด้วยมาตรฐานการแพทย์ระดับสากล และค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มค่าดึงดูดเมดิคัล ทัวริสเตอร์ และการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพเวลล์เนสส์ แอนด์ พรีเวนทีฟ เฮลทธ์แคร์ (Wellness & Preventive Healthcare) เติบโต โดยสอดรับกับโครงสร้างพลเมืองโลกที่จะมีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทยและแนวโน้มเดียวกับทั่วโลก
ด้านที่ 5.Thai Cultural Content ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อาทิ T-Pop และวงการบันเทิงไทยเติบโต, วัฒนธรรมสายวาย (BL) และ ยูริ (GL) เป็นกระแสระดับโลก รวมไปถึงอาหารไทยและแฟชั่นไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักมากในตลาดสากล
6. ไทยอาจได้รับอานิสงส์จากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน จากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเข มงวดกับจีนมากขึ้น จากการเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีนของสหรัฐฯ ส่งผลให ้ บริษัทข้ามชาติบางส่วนต้องหาทางเลือกใหม่ในการตั้งฐานการผลิต ไทยและอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย เป็นเป้าหมายสำาคัญของการย้ายฐานการลงทุน
โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบ ทั้ง ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ซัพพลายเชน, เครื่องใช ้ ไฟฟ้า ฯลฯ จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง (น้ำ, พลังงานไฟฟ้า, โลจิสติกส์)
นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการส่งออกต่ำกว่า ล่าสุดไทยได้ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ ‘เอฟตา’ หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป รวมไปถึงนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ
การผลิตอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได ้ประโยชน์จากการย ้ายฐานการผลิตมายังไทย และอุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI ที่ต้อองการเข้าถึงตลาดอาเซียน
สุดท้ายด้านที่ 7. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เชิงรุกที่ประกาศออกมา ทั้ง 10 นโยบายเร่งด่วน และ 8 นโยบายหลักระยะกลางและระยะยาว
ภวัต กล่าวต่อว่า ในส่วนของปัจจัยลบยังมีอยู่ และความท้าทายที่ต้องติดตาม อาทิ
- ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในสภาวะซบเซาหรือยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร อัตราดอกเบี้ยสูงในสหรัฐฯ และยุโรปอาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย
- การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว หรือยังฟื้นไม่เต็มที่
- สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยในการแข่งขัน
- ความอ่อนแอและเปราะบางของ SMEs ไทยที่ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในทักษะเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
“แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและเห็นผลเป็นรูปธรรม” ภวัต กล่าวพร้อมเสริมว่า “ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง จากโอกาสและความท้าทายทั้งหมดที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งในภาวะเช่นนี้ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญ ซึ่ง MI GROUP พร้อมร่วมพันธมิตร แบรนด์ และผู้ ประกอบการ ผนึกกำลัง เดินเกมรุก เพื่อตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่เหมาะสม”