‘คูโบต้า’ การตลาดยุค3 จากควายเหล็กสู่โดรนเกษตร พลิกโฉมอุตฯเกษตรไทย ดึงหน้าใหม่เข้าระบบ

‘คูโบต้า’ การตลาดยุค3 จากควายเหล็กสู่โดรนเกษตร พลิกโฉมอุตฯเกษตรไทย ดึงหน้าใหม่เข้าระบบ
สยามคูโบต้า กับแผนการตลาดยุคที่ 3 รับเทรนด์เกษตรกรไทยเจนฯY-Z เข้าสู่ 'สมาร์ท ฟาร์มมิ่ง' หนุนตลาดโดรนการเกษตรพุ่ง 2.8 หมื่นล้านบาท

พิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและทำตลาดเครื่องจักรเพื่อการเกษตร กล่าวว่า คูโบต้า (Kubota) เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นระยะเวลาร่วม 46 ปี ปัจจุบันได้เข้าสู่การทำตลาดในยุคที่ 3 เพื่อรองรับเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Farming) ของไทย พร้อมดึงเกษตรกรคนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นวาย (Y) และ ซี (Z) ของไทยให้เข้าสู่อุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้น

“คูโบต้าในยุคแรกที่เข้ามาในไทย จะเป็นการทำตลาดด้วยสินค้าเครื่องจักรด้วยรถไถหรือที่เรียกกันว่าควายเหล็ก ถัดมาในยุคที่2 จะเป็นรถแทร็คเตอร์ และจากการเข้ามาของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทุกสิ่งหรือ ไอโอที ในปัจจุบันจะเป็นยุคที่3 ด้วยการใช้โดรนเพื่อการเกษตร” พิษณุ กล่าว

พร้อมเสริมว่าการทำการเกษตรยุคใหม่ เริ่มใช้เครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีมาลดต้นทุนเวลาและช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและให้ความปลอดภัยมากขึ้น และกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจบริการใหม่ในกลุ่มเกษตรกรคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาใช้โดรนเพื่อการเกษตรในสวน/แปลงเกษตร ประเภทต่างๆ ในปัจจุบัน

“โดรนเพื่อการเกษตรจะแบกรับน้ำหนักได้ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม ซึ่งการบังคับบินโดรนแต่ละครั้งมีอัตราเฉลี่ยบริการอยู่ที่ไร่ละ 50 บาทหากนำไปให้บริการครอบคลุมได้ 60-100 ไร่ จะได้รับค่าตอบแทนในระดับน่าพอใจ ที่ต่างจากในอดีตหากใช้แรงงานคนเพื่อแบกกระเป๋าฉีดยาฆ่าแมลง หรือ หว่านเมล็ดพันธุ์พืช จะต้องใช้ไม่ต่ำกว่า15-16 คนต่อครั้ง คิดค่าแรงไม่ต่ำกว่า 500บาทต่อคน” พิษณุ เสริม

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการทำตลาดเครื่องจักรเพื่อการเกษตรในกลุ่มอื่นๆ อาทิ รถแทรกเตอร์และรถเกี่ยวนวดข้าว โดยนำกลยุทธ์การตลาดผ่านดนตรี (Music Marketing) ใช้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสารพร้อมสร้างการจดจำแก่กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรไทยคนรุ่นใหม่ด้วย

“แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับวิสัยทัศน์บริษัทฯ ในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกับเกษตรกรชาวไทย หลังพบช่วงหลังโควิดที่ผ่านมาพื้นที่เกษตรกรรมของไทยหลายแห่งถูกปล่อยรกร้างจำนวนมาก ปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยลดลงและนำไปสู่ราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นตามดีมานด์และซัพพลาย ที่สุดท้ายหากเกษตรกรไทยลดน้อยลงย่อมส่งผลต่อธุรกิจบริษัทเช่นกัน” พิษณุ กล่าวพร้อมเสริมว่า

โดยในปีนี้ บริษัทฯได้ทำแคมเปญ "No Farmer, No Us : ไม่มีเขา ไม่มีเรา" มุ่งเน้นให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของเกษตรกร ผู้เป็นแรงสำคัญเบื้องหลังการผลิตอาหารที่ปลอดภัย และเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่ เสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรและความยั่งยืนด้านอาหาร

นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญ Turn waste to Agri-Wear โดยร่วมมือกับ GREYHOUND ORIGINAL ต่อยอด ‘ฟางข้าว’ เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จุดประกายการ Upcycling เศษวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์กลายเป็นเครื่องแต่งกายสไตล์สตรีทแฟชั่น เพื่อลดผลกระทบจากการเผา พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและงานฝีมือช่างทอผ้าไทย และทำให้แบรนด์คูโบต้าเข้าถึงกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น

โดยในปลายปี2567 บริษัทฯ ยังเตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้แคมเปญ ‘คันที่ใช่ พร้อมลุยทั่วไทย’ ตลอด 8 จุดทั่วไทย ระหว่างเดือนกันยายน – พฤศจิกายนนี้ โดยนำเสนอเครื่องจักรกลการเกษตรที่ตอบโจทย์การเป็น ‘คันที่ใช่’ ด้วยนวัตกรรมแทรกเตอร์ไฟฟ้าและแทรกเตอร์ไร้คนขับที่นำมาให้ชมและทดลองขับ พร้อมไฮไลท์สำคัญของงาน คือ การแข่งขันแทรกเตอร์เพื่อหาผู้ชนะเข้าชิง คูโบต้าพันธุ์แกร่งปีที่ 2 รอบอาเซียนในต้นปีหน้า ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ผ่านการนำเสนอ ‘กีฬาของเกษตรกรไทย’ ในรูปแบบสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ด้วย

พร้อมเสริมว่า “ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภาคการเกษตรยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ทว่ายังได้รับปัจจัยบวกจากราคาผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดด้านการส่งออก โดยเฉพาะตลาดข้าวและอ้อยที่มีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรมีกำลังในการซื้อ สร้างแรงหนุนให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มรถเกี่ยวนวดข้าว รถขุดขนาดเล็ก และโดรนการเกษตร” พิษณุ กล่าว

โดยในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในทุกกลุ่มสินค้า และเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งครองใจเกษตรกรไทย ด้วยยอดขายสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น 13% โดยกลุ่มสินค้าเครื่องยนต์ ถึงในปัจจุบันมียอดขายเครื่องยนต์คูโบต้า 3.5 ล้านเครื่อง

จากแนวทางการทำตลาดดังกล่าว เพื่อต่อยอดไปสู่การเพิ่มเกษตรกรหน้าใหม่ (ช่วงอายุ 20-43 ปี) ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 65% ของฐานลูกค้าเดิมจำนวน 57,000 รายทั่วประเทศที่ประกอบอาชีพกสิกรรม/การเกษตร

โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ราว 6 หมื่นล้านบาท เป็นการเติบโตขึ้นอีก 2-3% จากในช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมา มีรายได้ราว 2.9 หมื่นล้านบาท จากการทำตลาดทั้งในและการส่งออกสินค้าในตลาดสำคัญกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และ เวียดนาม) และตลาดในประเทศยุโรป

ปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องจักรเพื่อการเกษตรรถแทร็คเตอร์คูโบต้า ประเทศญี่ปุ่น โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีรายได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ตลาดโดรนเพื่อการเกษตรในไทย คาดปัจจุบันมีมูลค่าเชิงปริมาณ (Volume Market) ไม่ต่ำกว่า 7,000 ลำ หรือ คิดเป็นมูลค่า (Value Market)ไม่ต่ำกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท (คำนวณอัตราเฉลี่ยราคา 4 แสนบาทต่อยูนิต) โดยปัจจุบันบริษัทฯ ครองอันดับ1 สัดส่วน 37% ในตลาดโดรนเพื่อการเกษตร พร้อมวางเป้าหมายมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น10% จากเดิมสัดส่วน 4% ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานโดรนฯ ในปีนี้

น้ำท่วมอ่วมกำลังซื้อฐานราก

พิษณุ กล่าวต่อถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อลูกค้าของสยามคูโบต้าโดยตรง ล่าสุดได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่เข้าช่วยเหลือประชาชนใน 5 จังหวัดภาคเหนือ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และ สโขทัย  พร้อมวางมาตรการให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องจักรกลการเกษตรที่เสียหายให้แก่เกษตรกร อาทิ สนับสนุนดอกเบี้ย 0% 3 เดือน ผ่านสินเชื่ออเนกประสงค์และ SKL Card สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ (สามารถตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด โทร 1317 หรือสาขาใกล้บ้านท่าน)

นอกจากนี้ยังมอบส่วนลดอะไหล่สูงสุด 50% สำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม รวมถึงตั้งจุดบริการซ่อมพิเศษ (Mobile Service)เพื่อฟื้นฟูเครื่องจักรกลการเกษตรของลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย

“แนวทางดังกล่าวเพื่อสนับสนุนและฟื้นฟูกลุ่มเกษตรกรของไทยให้มีกำลังและความพร้อมได้อย่างเต็มที่ก่อนกลับมาสู่ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรในรอบเพาะปลูกใหม่ได้แข็งแรงขึ้น” พิษณุ กล่าว

 

 

TAGS: #สยามคูโบต้า #คูโบต้า