คปภ. เปิด 4 มิติ กำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง

คปภ. เปิด 4 มิติ กำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง
เลขา คปภ. เปิด 4 มิติ กำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็งยั่งยืน เป็นเสาหลักเศรษฐกิจของไทย (EP 4)

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ สำนักข่าว The Better ว่า คปภ.มี นโยบายในการกำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง แบ่งออกเป็น 4 มิติ ได้แก่

มิติที่ 1 การกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย

คปภ. มุ่งเน้นในการพัฒนารูปแบบการกำกับให้ความเห็นชอบการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันให้มากขึ้น ส่งเสริมให้มีการผ่อนคลายกรอบการกำกับอัตราเบี้ยประกันภัยให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับต้นทุนและความเสี่ยงในการออกกรมธรรม์ประกันภัยมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้บริษัทกำกับดูแลการบริหารจัดการด้วยตนเอง โดยปรับหลักเกณฑ์การให้
ความเห็นชอบจาก Rules-Based Approach เป็น Principles-Based Approach พร้อมส่งเสริมให้บริษัทมีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัย (Product Governance Committee) ที่มีการดำเนินธุรกิจประกันภัยภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) และการบริหาร ความเสี่ยง เพื่อทำให้มั่นใจว่าบริษัทประกันภัยมีการควบคุมที่เพียงพอในการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ และคำนึงถึงวัตถุประสงค์ 3 ข้อในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้แก่ ผู้เอาประกันภัยจะต้องได้รับประโยชน์ จากการทำประกันภัยและได้รับการปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเป็นธรรม บริษัทประกันภัยมีผลิตภัณฑ์ ที่นำออกจำหน่ายต้องได้รับการพิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดและต้องไม่ทำให้สถานะทางการเงินโดยรวมเสียหาย และธุรกิจประกันภัยที่คำนึงถึงความยั่งยืนของอุตสาหกรรมประกันภัยในระยะยาว โดยมีกรอบแนวทางในการพัฒนากระบวนการ ดังนี้

1. จัดให้มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัย (Product Governance Committee) และการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่คุ้มครองความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์หลักทั้ง 3 ประการได้แก่ ผู้เอาประกันภัย บริษัทประกันภัย และอุตสาหกรรมประกันภัย มุ่งเน้นเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) และการบริหารความเสี่ยง เพื่อทำให้มั่นใจว่าบริษัทประกันภัยมีการควบคุมที่เพียงพอ ในการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์และการกำหนดราคา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่คุ้มครองความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk)

ปัจจุบันสำนักงาน คปภ. มีหลักเกณฑ์และกระบวนการให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยซึ่งเป็นนโยบายในการกำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง รวมถึงเป็นแนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นในอดีตที่ผ่านมา โดยกำหนดให้บริษัทจัดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัย (Product Governance Committee) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ในการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการกำหนดเบี้ยประกันภัย เป็นรายผลิตภัณฑ์ประกันภัย อันจะเป็นการส่งเสริมการดำเนินงานภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (corporate governance) ให้บริษัทมีความรับผิดชอบในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ประกันภัย อย่างครบถ้วนทั้งวงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย ประกอบด้วย หน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยก่อนที่บริษัทประกันภัยจะยื่นขอรับความเห็นชอบต่อนายทะเบียน โดยพิจารณาในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีการปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเป็นธรรม อัตราเบี้ยประกันภัยเป็นธรรมต่อลูกค้า รวมถึงสอดคล้องตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยและข้อกำหนดการจ่ายผลประโยชน์ ความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น ความเพียงพอของเงินกองทุน กระบวนการพิจารณารับประกันภัย กระบวนการเสนอขาย กระบวนการบริหารความเสี่ยง เป็นต้น โดยนายทะเบียนจะพิจารณาให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยซึ่งได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัยอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสอดคล้องกับกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และความเป็นธรรมต่อลูกค้า เมื่อนายทะเบียนให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยแล้ว บริษัทจึงสามารถเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อประชาชนได้ 

หลังจากเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยสู่ประชาชนแล้ว คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัยจะต้องคอยกำกับดูแลและประเมินผลการเสนอขายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากมีปัญหาเกิดขึ้นต่อผลิตภัณฑ์ประกันภัยหรือไม่เป็นไปตามแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัยต้องดำเนินการปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในแง่มุมต่างๆ เช่น ความเหมาะสมต่อลูกค้า ความสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัท และหากผลิตภัณฑ์ประกันภัยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนหรืออุตสาหกรรมประกันภัย นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้บริษัทดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควร เช่น การจำกัดปริมาณหรือระงับการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยดังกล่าวเป็นการชั่วคราวหรือตลอดไป

นอกจากนี้ หากบริษัทประสงค์จะออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่คุ้มครองความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) ที่เป็นความเสี่ยงภัยที่สามารถคาดการณ์ความเสียหายได้ยาก ซึ่งหากมีการรับประกันภัยในลักษณะนี้ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อฐานะการเงินของบริษัทได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยทั่วไป จึงต้องมีกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมกว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยทั่วไป โดยคณะกรรมการผลิตภัณฑ์ประกันภัยจะต้องพิจารณาใน 2 ประเด็นเพิ่มเติม นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ประกันภัยทั่วไป ดังต่อไปนี้

1) การจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่คุ้มครองความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อทำหน้าที่ในการวิเคราะห์สถานการณ์การรับประกันภัยสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยนี้อย่างใกล้ชิด ในเชิงลึก และหากมีปัญหาเกี่ยวกับการรับประกันภัย ผู้เชี่ยวชาญนี้ต้องสามารถเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2) การประเมินว่าหากมีสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เช่น เกิดการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนที่สูง บริษัทจะยังคงมีความสามารถในการรับประกันภัยสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยนี้ได้ ซึ่งต้องไม่กระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท โดยบริษัทจะต้องมีการจำกัดปริมาณการรับประกันภัยให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการรับประกันภัยของบริษัท (เช่น เงินกองทุน) ตั้งแต่ก่อนยื่นขอรับความเห็นชอบต่อนายทะเบียน

2. การผ่อนคลายการกำกับอัตราเบี้ยประกันภัย ทั้งธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัย โดยมุ่งไปสู่วิธีการกำกับแบบ Principle-Based โดยผ่อนคลายการกำกับอัตราเบี้ยประกันภัยที่ทำให้บริษัทสามารถกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยได้สอดคล้องกับต้นทุนและความเสี่ยงในการออกกรมธรรม์ประกันภัยมากขึ้น (Risk-Based Pricing) ส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น พร้อมยกระดับการปฏิบัติงานของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยและกำหนดโครงสร้างในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยมี Financial Stability มากขึ้น เพราะมีการตั้งราคาที่เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของแต่ละผลิตภัณฑ์ และช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทประกันภัยพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น และออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประชาชนได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยได้สอดคล้อง กับความคุ้มครองและต้นทุนการรับประกันภัยมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายและตรง ความต้องการมากขึ้น

3. การเปิดเผยข้อมูล โดยกำหนดให้บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญ เพื่อทำให้ผู้บริโภค มีข้อมูลที่เพียงพอใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบข้อมูลสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายในตลาดได้

มิติที่ 2 การวิเคราะห์ธุรกิจประกันภัย

สำนักงาน คปภ. มีการกำกับดูแลบริษัทประกันภัยผ่านระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System : EWS) ซึ่งเป็นการกำกับดูแลและวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัท โดยมีการใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ อาทิ ข้อมูลฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัท การจัดสรรทรัพย์สินต้องเพียงพอต่อภาระและหนี้สินตามสัญญาประกันภัย รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินในระบบ EWS ประกอบกับข้อมูลเชิงคุณภาพ อาทิ แผนธุรกิจ รายงาน ORSA/ERM แผนควบคุมภายใน ความเห็นของผู้สอบบัญชีและนักคณิตศาสตร์ประกันภัย การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการบริษัท การเปลี่ยนแปลงของ ผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหาร เรื่องร้องเรียนจากผู้เอาประกันภัย ข่าวจากแหล่งภายนอก เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในมาตรการป้องกันและแก้ไข สถานการณ์ (Preventive and Corrective measures) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ติดตามฐานะการเงินการดำเนินการของบริษัทประกันภัยก่อนประเด็นปัญหานั้นจะลุกลามจนกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัท นอกจากนี้ ระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ยังใช้ในการวางแผนเข้าตรวจสอบบริษัทประกันภัย เพื่อติดตามประเด็นปัญหาที่ส่งสัญญาณเตือนภัย ในการตรวจสอบและกำหนดกลยุทธ์การกำกับและแทรกแซงบริษัทประกันภัย ซึ่งจะช่วยป้องกัน ความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและภาคอุตสาหกรรมได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม

มิติที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการกำกับ

โดยแบ่งการกำกับดูแลออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1. การกำกับดูแลด้านการประกันภัยต่อ

ปีที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ดำเนินการปรับปรุงประกาศ คปภ.ว่าด้วยการประกันภัยต่อ เพื่อให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถนำสัญญาประกันภัยต่อมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่อง เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และช่วยลดปัญหาในการโอนพอร์ตการรับประกันภัยไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อแห่งใหม่ กรณีที่มีการถ่ายโอนกิจการ 

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และบริษัทสามารถใช้สัญญาประกันภัยต่อมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2567 สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการจัดทำแนวปฏิบัติเรื่องการจัดทำประกันภัยต่อทางการเงินและการประกันภัยต่อแบบจำกัด นอกจากนั้น ยังมีแผนในการจัดทำแนวปฏิบัติที่เกี่ยวกับการควบคุมความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำประกันภัยต่อ เพื่อให้บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการการประกันภัยต่อที่ดีและเพียงพอ เป็นไปตามหลักการ
ตามประกาศว่าด้วยการประกันภัยต่อ และมีการปฏิบัติอย่างรอบคอบภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม 

2. การกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาล การควบคุมภายใน และการเปิดเผยข้อมูล 

สำนักงาน คปภ. มีแผนยกระดับการกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาลควบคู่กับการยกระดับกระบวนการควบคุมภายในของบริษัทประกันภัย โดยตั้งเป้าทบทวนหลักเกณฑ์เรื่องธรรมาภิบาล เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัย รวมถึงทบทวนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการควบคุมภายใน (Three Lines of Defenses) ของบริษัท โดยกระบวนการในแต่ละระดับ (Line) จะเป็นกลไกสำคัญที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดกระบวนการกำกับดูแลที่ดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้เผยแพร่กรอบแนวทาง เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย โดยสำนักงาน คปภ. เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงถึงนโยบาย แผนการดำเนินงาน และผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของบริษัท เพื่อสะท้อนถึงการมีธรรมาภิบาลที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย อาทิ ผู้เอาประกันภัย คู่ค้า สังคมและชุมชน ในการใช้เป็นข้อมูล ประกอบการพิจารณาและตัดสินใจดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แผนดำเนินงานในระยะถัดไป สำนักงาน คปภ. คาดหมายว่า จะมีการพิจารณายกระดับเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทประกันภัยต่อไป

3. การกำกับมาตรฐานการดำรงเงินกองทุนและความมั่นคงทางการเงิน 

สำนักงาน คปภ. มีแผนการพัฒนามาตรฐานและยกระดับบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อผลักดันและส่งเสริมบทบาทของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ให้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการบริหารความเสี่ยง การออกแบบผลิตภัณฑ์ การรับประกันภัย การลงทุน การประกันภัยต่อ การประเมินความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงิน โดยในร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิต และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัย ฉบับใหม่ ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยมากขึ้น ซึ่งในร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ทั้ง 2 ได้กำหนดให้มีนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแต่งตั้ง เพื่อทำหน้าที่ทั้งรับรองการวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน รายงานความเหมาะสมและความพร้อมของบริษัทในการเผชิญภาวะวิกฤตอันอาจเกิดขึ้นได้ ในอนาคต แสดงความเห็นต่อคณะกรรมการบริษัทในเรื่องนโยบายผลิตภัณฑ์ประกันภัย นโยบาย การประกันภัยต่อ นโยบายการลงทุน นโยบายการบริหารความเสี่ยง นโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่งล้วนเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางการเงินและฐานะความมั่นคงของบริษัทให้มีมาตรฐานและเข้มแข็งขึ้น ซึ่งในปีนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการสื่อสารให้กับภาคธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยผ่านการประชุมร่วมกับผู้บริหารบริษัทประกันภัย (OIC meets CEO) เรียบร้อยแล้ว โดยให้บริษัทเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรที่จะรับบทบาทนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแต่งตั้งให้มีคุณสมบัติให้ครบถ้วน ก่อนที่ พ.ร.บ. จะมีผลบังคับใช้ ต่อไป 

มิติที่ 4 การกำกับธุรกิจและการลงทุน

สำนักงาน คปภ. มีการกำกับการลงทุนของบริษัทประกันภัยเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทประกันภัยจะนำเงินที่ได้รับจากผู้เอาประกันภัยไปลงทุนอย่างเหมาะสม โดยการลงทุนของบริษัทประกันภัยสามารถดำเนินการได้ภายใต้ประกาศ คปภ. เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต/วินาศภัย พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยึดถือหลักการที่คณะกรรมการบริษัทต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายการลงทุนและการประกอบธุรกิจอื่นของบริษัท นโยบายการบริหารความเสี่ยงรวม และกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความพร้อมของบริษัท รวมถึงติดตาม ควบคุม ดูแล ให้การลงทุนและการประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความมั่นคง สถานะทางการเงิน การดำเนินงานของบริษัท รวมถึงหลักธรรมาภิบาล และการบริหารความเสี่ยง บริษัทต้องบริหารสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับลักษณะการประกอบธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และเหมาะสมต่อภาระผูกพันที่บริษัทมีต่อผู้เอาประกันภัย ทั้งในรูปกระแสเงินสดจำนวนเงิน ระยะเวลา และสกุลเงิน 

นอกจากนี้บริษัทประกันภัยต้องลงทุนและประกอบธุรกิจอื่น ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการหรืองดเว้นการที่ต้องกระทำใดๆ อันเป็นผลให้บริษัทต้องจ่ายเงินหรือสินทรัพย์อื่นมากกว่าจำนวนที่พึงจ่าย หรือให้บริษัทได้รับเงินหรือทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดๆ น้อยกว่าจำนวนที่พึงได้รับ คณะกรรมการบริษัทจำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจในธุรกิจประกันภัย สินทรัพย์ที่บริษัทลงทุน และการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน และมีบทบาทหน้าที่อนุมัติกรอบนโยบายการลงทุนและกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน จัดให้มีกระบวนการติดตามสอดส่องผลการดำเนินงานด้านการลงทุน ระบบการควบคุมและการตรวจสอบภายในที่เพียงพอเพื่อให้การลงทุนของบริษัทเป็นไปตามกรอบนโยบายการลงทุน ระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการลงทุน และข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

ในส่วนของการเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัย โดยการ Consolidation ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้มีมาตรการส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อทำให้บริษัทประกันภัยมีความมั่นคง เข้มแข็งเพิ่มศักยภาพในการรับประกันภัยให้สูงขึ้น สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่แผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 3 (ปี 2549 ถึงปี 2563) และเพื่อเป็นการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง สำนักงาน คปภ. จึงได้มีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเรื่องการส่งเสริมการควบรวมโดยสมัครใจและเตรียมมาตรการรองรับเพื่อส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยมีความเข้มแข็งทางการเงิน และมีขีดความสามารถในการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564 - 2568) ด้วย