“ม้าขาว” แบรนด์ถ่านไฟฉายคนไทยหนึ่งเดียว ที่ยังยืนหยัดทำตลาดมานานร่วม 60ปี กับเป้าหมายลดมูลค่าตลาดรวมให้เหลือกว่า 3,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท พร้อมกวาดแชร์ 10% ใน3 ปีหน้า
ณัฐพล วิไลพรรัตนา ผู้บริหารรุ่น3 ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกศลอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ทำตลาดถ่านไฟฉาย ยี่ห้อ ‘ม้าขาว’ กล่าวว่าในปี2567 นี้ บริษัทได้กลับมาทำตลาดสินค้าถ่านไฟฉายตราม้าขาว อย่างจริงจังในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี พร้อม Rebranding ถ่านม้าขาว (WhiteHorse) ในโอกาสครบรอบ 60 ปี พร้อมกันด้วย
ต่อการรีแบรนด์ถ่านม้าขาว ในครั้งนี้ ณัฐพล บอกว่า ยังเพื่อตอกย้ำคุณภาพสินค้าภายใต้มาตรฐานการผลิตระดับสากล ที่ปัจจุบันบริษัทจ้างการผลิตสินค้าจากพันธมิตรธุรกิจโรงงานในประเทศจีน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตสินค้าทั้งถ่านอัลคาไลน์ และ ถ่านแมงกานีส ให้กับบริษัทไม่ต่ำกว่า 30 ปี พร้อมทำตลาดส่งออกในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ในปัจจุบัน
“จากจุดเริ่มต้นเรามาจากถ่านแมงกานีส มีตลาดหลักในต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่ ซึ่งการรีแบรนด์ พร้อมปรับโลโก้ใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ามาสู่ตลาดถ่านอัลคาไลน์ ซึ่งเป็นถ่านไฟฉายที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน” ณัฐพล กล่าว
โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทำตลาด ‘ม้าขาวเรียลคาไลน์’ (Realkaline) ซึ่งเป็นถ่านอัลคาไลน์รุ่นแรก ออกวางจำหน่าย เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ และลูกค้ากลุ่มทั่วไป เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการถ่านไฟฉายที่มีประสิทธิภาพสูง ในราคาที่ถูกกว่าถ่านไฟฉายตามท้องตลาดทั่วไปถึง 60 %
ณัฐพล กล่าวว่า “การกลับมาทำตลาดของถ่านไม้ขาว ครั้งนี้ ยังจะสะท้อนภาพรวมสินค้าในราคาที่แข่งขันได้จริง และอยู่ได้ให้ผู้บริโภคคนไทยได้รับประโยชน์ หลังจากตลาดถ่านไฟในประเทศไทยถูกผูกขาดด้านราคามานานร่วม 30 ปี จากรายใหญ่ในตลาดเป็นผู้กำหนดราคาขาย”
นอกจากนี้ยังพบเพนพ้อยต์ของผู้บริโภค คือ ราคาขายสินค้าถ่านไฟฉายที่มีราคาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะถ่านอัลคาไลน์ ที่ทำให้เกิดสินค้าเซ็กเม้นต์ใหม่ออกมาทำตลาดคือ ถ่านรีชาร์จที่สามารถใส่ถาดชาร์จไฟเพื่อนำถ่านกลับมาใช้ได้ใหม่ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดรวมถ่านไฟฉายมีการเติบโตเชิงมูลค่าไม่เกิน 1-2% ตลอดช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ การตัดสินใจซื้อถ่านไฟฉายของกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ส่วนใหญ่ มาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ ความเชื่อมั่นแบรนด์ที่มีต่อสินค้า ด้านคุณภาพและความปลอดภัย และ ด้านราคา ซึ่งสินค้าของบริษัทฯ จะตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทั้งสองด้าน
โดยถ่านม้าขาว หรือ WhiteHorse ประเภทอัลคาไลน์ และ แมงกานีส มีราคาสินค้าในขนาดบรรจุแพ็ค 4 ก้อนขนาด AA วางราคาขายอยู่ที่ 55บาท และ ถ่านม้าขาวแบบแมงกานีส บรรจุแพ็ค 4 ก้อน ขนาด AAA ราคา 25 บาท เป็นต้น ซึ่งสินค้าถ่านม้าขาวทั้ง 2 แบบมีช่องว่างราคาสินค้าที่ต่ำกว่าราคาสินค้าถ่านทั่วไปในตลาดถึง 60%
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีถ่านไฟฉายแบรนด์ ‘5 แพะ’ วางตำแหน่งให้เป็น Fighting Brand ขนาดไซส์D บรรจุ2 ก้อนวางราคาขายปลีก 35 บาท เป็นต้น
ณัฐพล กล่าวต่อในส่วนของช่องทางจำหน่ายสินค้าถ่านม้าขาว บริษัทฯ จะมุ่งให้ความสำคัญการทำตลาดในช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเชิงรุก พร้อมใช้โปรโมชั่นจัดส่งสินค้าฟรีให้กับลูกค้าตามเงื่อนไขการซื้อสินค้าตามที่กำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยและเลือกซื้อสินค้าในช่องทางขายออนไลน์ มากขึ้น นอกเหนือจากการทำตลาดผ่านตัวแทนขาย(ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว) กว่า200 รายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งหมด 2,000 ล้านก้อนต่อปี แบ่งเป็นถ่านอัลคาไลน์ 70% และถ่านแมงกานีส 30%
จากแนวทางการทำธุรกิจที่ใช้ความจริงใจในการทำตลาด ด้วยการใช้คุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานมาผนวกกับราคาที่แท้จริงในครั้งนี้ เพื่อผลักดันไปสู่การสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาด คือ การลดมูลค่าตลาดรวมถ่านไฟฉายในประเทศไทยให้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 หรือ 3 ปีหน้านับจากนี้ พร้อมวางเป้าหมายมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 10% ของตลาดรวมหรือราว 300 ล้านบาท
สำหรับตลาดถ่านไฟฉาย ในปัจจุบันมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น
- แบรนด์สินค้าญี่ปุ่น ครองส่วนแบ่งตลาด สัดส่วน80%
- แบรนด์สินค้าอเมริกา และ ยุโรป ครองส่วนแบ่งตลาด สัดส่วน 5-10%
- แบรนด์สินค้าจีน ครองส่วนแบ่งตลาด สัดส่วน 5~10%
- แบรนด์สินค้าไทย ครองส่วนแบ่งตลาด สัดส่วน 1%
ณัฐพล กล่าวทิ้งท้ายว่า “บริษัทฯ ถือเป็นผู้เล่นสัญชาติไทยเพียงรายเดียวที่อยู่ในตลาดถ่านไฟฉาย ด้วยหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา หรือในช่วงพีคๆ ก่อนหน้าจะมีสินค้าแบรนด์ไทย ไม่ต่ำกว่า 20 ยี่ห้อ ก่อนทยอยหายไปจากตลาด ที่มีผู้เล่นจากต่างประเทศครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาด
โดยบริษัท โกศลอุตสาหกรรม จำกัด ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับโรงงานผลิตถ่านไฟฉายในประเทศไทย อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2500 ผลิตถ่านไฟฉายม้าขาวขนาด D หรือที่เรียกว่าถ่านไฟฉายขนาดใหญ่วางจำหน่ายเพียงขนาดเดียวโดยใช้กับวิทยุทรานซิสเตอร์และกระบอกไฟฉาย
จากนั้นในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นยุคการบริหารของทายาทรุ่นที่ 2 และได้เพิ่มการผลิตถ่านไฟฉายขนาด C, AA, AAA และ 9V เพื่อรองรับความต้องการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ใหม่ๆ ออกมา