เนสท์เล่ แผนปี 2023 ลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ทำตลาดพร้อมขยายไลน์ผลิตโรงงาน จ.ระยอง รับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่พร้อมสนับสนุนองค์กรยั่งยืน
‘เนสท์เล่’ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยถึงปัจจุบันมีอายุครบ 130 ปีสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและรู้จักผู้บริโภคคนไทยได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด ‘เนสท์เล่’ ได้ใช้จุดแข็งด้านความเข้าใจผู้บริโภค ต่อยอดการทำตลาดสินค้าเจาะผู้บริโภคเจนเนอเรชันใหม่ ในยุคหลังโควิด19 ที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ลงทุนกว่าหมื่นล.บาท สปีดทำตลาดขยายโรงงานผลิต
‘วิคเตอร์ เชียห์’ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่าในปี2023 เนสท์เล่ฯ เตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการลงทุนในโรงงานเพียวริน่า เพ็ทแคร์ จังหวัดระยอง ราว 6,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าอีก 50%
และลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด อีกประมาณ 3,500 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนราว 15% สำหรับการทำตลาดดิจิทัล โดยงบฯในจำนวนนี้ยังรวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจควบคู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (แพคเกจจิง) สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้วัสดุนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก (Recycle)
“ถือเป็นงบฯลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปีตลอดช่วงระยะเวลาที่ตนเองเข้ามามาดำรงตำแหน่งและดูแลตลาดอินโดไชนา ด้วยมองเห็นโอกาสตลาดสินค้าอาหารเครื่องดื่มยุคหลังโควิดจะกลับมาเติบโต จากปัจจัยบวก นักท่องเที่ยวกลับมาใช้จ่าย คนไทยออกมานอกบ้านมากขึ้น และเงินสะพัดจากการเลือกตั้งในไทย” วิคเตอร์ กล่าว
ตรึงราคา สวนต้นทุนเฉลี่ยพุ่ง 8%
นอกจากนี้ เนสท์เล่ ยังไม่มีแผนปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดในขณะนี้โดยจะยังตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด แม้ว่าจะมีต้นทุนการผลิตสินค้าทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ก็ตาม โดยบริษัทจะใช้การบริหารจัดการควบคุมการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เกาะเทรนด์ผู้บริโภคหลังโควิด เปลี่ยน
วิคเตอร์ กล่าวว่า แผนธุริจดังกล่าวของเนสท์เล่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคคนรุ่นใหม่หลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด19 ซึ่งพบว่าเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยคนไทยหันมาใส่ใจกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล หรือ Balanced Diet มีไลฟ์สไตล์ที่รักษ์โลกมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น แต่ยังแบ่งพื้นที่ให้กับการรับประทานของหวานหรือขนม แต่จะไม่ประนีประนอมในรสชาติอาหาร
โดยผู้บริโภค อายุมากกว่า 45 ปี ให้ความสำคัญถึงความยั่งยืนมากขึ้นรวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี หันมาสนับสนุนแบรนด์ที่มีแนวทางด้านความยั่งยืนเช่นกัน
“เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ นำไปสู่การขับเคลื่อนทิศทางและการดำเนินงานของธุรกิจเนสท์เล่ในปี 2023”
เดิน 2 กลยุทธ์เจาะตลาดปี 2023
ทั้งนี้ เนสท์เล่ จะดำเนินธุรกิจในปีนี้ ภายใต้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.การขับเคลื่อนสิ่งดีๆเพื่อผู้บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ลดน้ำตาล ลดโซเดียม การเสริมวิตามินและแร่ธาตุ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภค อาทิ ผลิตภัณฑ์แบรนด์ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ ในรูปแบบขายปลีก และ 2. ขับเคลื่อนสิ่งดีๆเพื่อโลก (Good for the Planet) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
แนวทางดังกล่าว เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ในปี 2020 การใช้คาร์บอน ฟุตปรินต์ ลดลง 20%, การนำกลับแพคเกจจิง สินค้ากลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงกลุ่มจัดหาวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100% และการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต เป็นต้น
โดยปัจจุบัน เนสท์เล่ มีสินค้ามากกว่า 400 รายการ (SKUs) จำนวน 15-20 แบรนด์ รวม 15 กลุ่มธุรกิจ โดยในปี 2022 เนสท์เล่เติบโตอยู่ที่ 3.5-4 % เมื่อเทียบกับปี 2564