ตอนนี้ผู้รู้และผู้เชี่ยวชาติเรื่องไทย-กัมพูชา กำลังแตกออกเป็น 2 ค่าย
ค่ายแรกต้องการให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชา เพราะไทยเสียเปรียบ
ค่ายที่สองเตือนว่าอย่าหาทำ เพราะถ้าเลิก MOU กับกัมพูชา ประเทศไทยจะเสียเปรียบ
ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลของตนเองแบบที่ลงรอยกันไม่ได้เสียด้วย เมื่อลงรอยกันไม่ได้ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ซับซ้อนเข้าไปอีก
ฝ่ายที่อยากให้เลิก ชี้ว่ากัมพูชากอดแผนที่ 1:200,000 ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่หยาบ หากยึดต้องตามแผนที่ของกัมพูชาไทยก็จะเสียดินแดนเอาง่ายๆ เพราะแผนที่งานหยาบจะลากแนวพรมแดนให้หยาบไปด้วย
ฝ่ายที่ไม่อยากให้เลิก ให้เหตุผลว่า MOU เป็นกรอบการเจรจาของสองประเทศ หากฉีกทิ้งจะไม่มีกรอบการเจรจา และจะยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศที่สาม หรือ "มือที่สาม" เข้ามาแทรกแซง เช่น ประเทศมหาอำาจที่กัมพูชาต้องการให้ช่วย หรือจะเป็นการเปิดทางให้นำเรื่องนี้ขึ้นศาลโลก
ทั้งสองแนวคิดกำลังตอบโต้กันไปมา โดยยังหาข้อลงรอยไม่ได้ และแม้จะพยายามอธิบาย "ให้ง่ายที่สุด" ผมก็ยังเชื่อว่าประชาชนจะยิ่งสับสนว่าอะไรเป็นอะไร
วันเดียวกันนั้น NIDA เผยผลสำรวจความเห็นของประชาชน พบว่า คนไทยกว่า 40% ยังไม่เข้าใจ MOU43 กับ MOU44 และ 65.50% ต้องการให้มีการทำความเข้าใจชัดเจนมากขึ้น แต่แล้ว 60.76% ก็ยังหนุนให้มีการทำประชามติเรื่องการยกเลิก
ผมเกรงว่าเรื่องการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU ก็จะแตกเป็นสองฝ่ายเหมือนกัน คือ ฝ่ายที่อยากให้ทำประชามติ กับฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ทำ
ผมเคยแสดงทัศนะไว้ว่า MOU เป็นงานของรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนทำก็ตาม "ฝ่ายบริหาร" ก็ควรจะต้องรับผิดชอบชะตากรรมของมัน
ไม่ใช่โยนภาระความรับผิดชอบมาให้ประชาชน เพราะประชาชนได้เลือกฝ่ายบริหารไปทำหน้าที่แทนแล้ว
MOU ระหว่างรัฐบาลก็มีสถานะเกือบเท่ากับ Treaty นั่นเองแต่ไม่เป็นทางการเท่านั้น ซึ่งนิยามของคำว่า "สนธิสัญญา" (Treaty) ในพจนานุกรม Canbridge ก็กล่าวว่าคือ "ข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างสองประเทศ (รัฐ) หรือมากกว่า ซึ่งได้รับการอนุมัติและลงนามอย่างเป็นทางการโดยผู้นำของประเทศเหล่านั้น"
ย้ำว่ารับรอง "โดยผู้นำของประเทศเหล่านั้น" เมื่อยกเลิกก็ควรจะ "โดยผู้นำของประเทศเหล่านั้น" ใช่ไหม?
และผมเห็นว่าการโยนภาระนี้ให้ประชาชนตัดสินใจ เท่ากับรัฐบาลเอาตัวรอดจากพันธะของตัวเองและพันธะทางประวัติศาสตร์
เอาตัวรอดจากพันธะของตัวเอง ก็คือ มันเป็นงานของรัฐบาลแท้ๆ แต่โยนให้ประชาชนทำ
เอาตัวรอดจากพันธะทางประวัติศาสตร์ ก็คือ หากในอนาคตการเลิก MOU จะดีหรือร้าย จะนำไปสู่สงครามหรือสันติภาพ รัฐบาลนี้จะไม่ต้องถูกด่าว่าขายชาติหรือถูกชมว่ารักชาติ
แต่ก็อย่างที่ "อังเคิลเบน" บอกไว้ว่า With great power comes great responsibility
รัฐบาลนั้นมาพร้อม great power แล้วจะเลี่ยง great responsibility ได้อย่างไร?
หรือว่าอยากมี power แต่ไม่เอา responsibility? นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีจริยธรรมอย่างที่สุด
ไม่ว่าจะอย่างไรรัฐบาลก็ไม่ควรหลีกหนีความรับผิดชอบเรื่องนี้ ต่อให้รัฐบาล A ทำข้อตกลง ก็ต้องเป็นรัฐบาล B ที่ตัดสินใจเกี่ยวกับมัน เพราะทั้งคู่เป็น "รัฐบาล" ไม่ใช้ว่า "รัฐบาลทำ" แล้วให้ "ประชาชนยกเลิก"
แบบนี้ไม่ต้องมีรัฐบาลเลยก็ได้กระมัง?
เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงกับความแตกแยกของสองค่ายที่ต้องการให้เลิก MOU กับไม่ต้องการให้เลิก MOU
เรื่องนี้ไม่สามารถใช้เสียงประชาชนตัดสินใจได้ เพราะไม่ใช่คำถามแบบ Yes หรือ No ที่ใช้ความรู้สึกได้ แต่มันต้องตกผลึจากการศึกษาอย่างเข้มข้น ดังที่เราเห็นแล้วว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังแตกคอกัน
การทำประชามติด้วยคำถามแบบ Yes หรือ No นั้นจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อประชาชนรู้สึก "สมเหตุผล" หรือ "ไม่สมเหตุผล" ตามการวินิจจัยของตน เช่น ในกรณีของการทำประชามติในสหราชอาณาจักรว่าควรจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปหรือไม่ คำถามต่อประชาชนแม้มีแค่ Yes หรือ No แต่ดีเบตเรื่องการ Yes หรือ No กับสหภาพยุโรปนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อนไปกว่า "เรารู้สึกมันดีที่อยู่กับ EU" และ/หรือ "เรารู้สึกแย่เมื่ออยู่ใน EU"
โปรดทราบว่า การทำประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร เป็นตัวอย่างในยุคร่วมสมัยของเราเกี่ยวกับการใช้ประชามติในการทำให้สนธิสัญญาระหว่างประเทศเป็นโมฆะ ซึ่งอย่างที่ชี้ให้เห็น การตัดสินเรื่องนี้ไม่ต้องใช้ทักษะที่ซับซ้อนนัก
แต่การทำประชามติของไทยเรื่อง MOU กับกัมพูชา (ที่จะเป็นการทำให้สนธิสัญญาระหว่างประเทศเป็นโมฆะกรณีที่สองในยุคของเรา) เป็นเรื่องซ้บซ้อนมาก เพราะการจะ Yes หรือ No ได้นั้น ประชานต้อง "รู้ให้ชัดก่อนว่า Yes แล้วได้อะไร หรือ No แล้วจะเสียอะไร"
แม้แต่ตอนนี้คนที่มีความรู้ที่สุดในประเทศเรื่อง MOU ก็ยังตอบขัดกันอง!
นี่แหละครับคือประเด็น เพราะการตัดสินเรื่องที่ซับซ้อนและอาศัยองค์ความรู้ขั้นสูงแบบการจะเอาไม่เอา MOU "ไม่สามารถให้ประชาชนตัดสินใจกันเองได้"
ดังนั้นเราถึงรัฐบาลมาเป็นทำงานนี้แทน เพราะเชื่อพรรคการเมืองจะเลือกคนมีสติปัญญาและการตัดสินใจที่เด็ดขาดมาทำงานแทนประชาชน ซึ่งไม่เข้าใจกิจการระหว่างประเทศ และยิ่งไม่เข้าใจงานที่อาศัยทักษะขั้นสูง
หากรัฐบาลพรรคไหนที่โยนงานยากๆ แบบนี้ให้ประชาชน คนเขาก็จะมองว่าบริหารประเทศไม่ได้ พึ่งพาไม่ได้ และไม่มีคนเก่ง
การที่ผู้เชี่ยวชาญนอกรัฐบาลเขาโต้เถียงกันว่าควรจะเลิกหรือไม่เลิกนั้นเป็นเรื่องดีต่อรัฐบาลหากรัฐบาลจะรับผิดชอบชะตากรรมของ MOU เพราะเท่ากับมีที่ปรึกษามาช่วยโดยไม่เสียตังค์
แต่ถ้าปล่อยให้ประชาชนฟังสองค่ายโต้เถียงกัน อย่าหวังว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น เพราะพื้นฐานก็ไม่เข้าใจ MOU ว่าคืออะไรอยู่แล้ว แล้วจะมาให้อ่านหรือฟังเนื้อหาเชิงเทคนิคยาวๆ ได้อย่างไร?
แม้ผู้เชี่ยวชาญค่ายต่างๆ จะย่อยเนื้อหาให้ง่ายแล้ว แต่มันยังเป็น "เรื่องของผู้เชี่ยวชาญ" อยู่ดี
มันไม่เหมือนกับการหาเสียงเพื่อเป็นรัฐบาล ซึ่งนักการเมืองต้องใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายอธิบายนโยบายของตนเพื่อโน้มน้าวให้ประชาบชนลงเลือกตน
แถมบางคนยังบอกว่า "ประชาชนยังไม่ได้อ่าน MOU" จึงไม่เข้าใจหรอก
ได้โปรดเถอะครับ ผมอ่าน MOU ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ถกเถียงกันในหมู่สื่อมวลชนก็แล้ว ก็ยังเข้าใจไม่ตรงกันสักที แล้วจะให้ประชาชนที่อยู่นอกสาขานี้มาเข้าใจได้อย่างไร?
ที่สำคัญ MOU และสนธิสัญญาต่างๆ นั้น มักใช้ภาษากฎหมายที่คลุมเครือและมีศัพท์แสงเฉพาะทาง ไม่มีทางที่ Layman (คนธรรมดาที่อยู่นอกสาขาวิชา) จะเข้าใจได้
ดังนั้น ข้อเรียกร้องให้ประชาชนทำความเข้าใจก่อนไปลงมติเรื่อง MOU จึงเป็นข้อเรียกร้องที่เกินกว่าเหตุ
และแน่นอนว่าผมเรียกร้องให้รัฐบาลตัดสินใจเอง
แต่ต้องทำด้วยการตั้งคณะกรรมการตัดสินใจอนาคตของ MOU โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากค่ายต่างๆ ทั้งที่ต้องการให้เลิกและที่ไม่ต้องการให้เลิกมานั่งโต้เถียงกัน
เถียงกันจนหาข้อสรุปได้จึงค่อยตัดสินใจ หากหาข้อสรุปไม่ได้ก็ยื้อมันไปเรื่อยๆ
แต่อย่าให้ประชาชนตัดสินใจกันเองในเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - (ภาพประกอบข่าว) - สมาชิกรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ลงคะแนนเสียงที่สถานีลงคะแนนเสียงระหว่างการเลือกตั้งวุฒิสภาในเมืองทัคเมา จังหวัดกันดาล เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)