'อิสรภาพในการเสพทุเรียนของจีน'ใกล้บรรลุแล้วหลังใช้เทคโนโลยีเกษตรจนได้ผลผลิต'หมอนทอง'ในสิบสองปันนา

'อิสรภาพในการเสพทุเรียนของจีน'ใกล้บรรลุแล้วหลังใช้เทคโนโลยีเกษตรจนได้ผลผลิต'หมอนทอง'ในสิบสองปันนา

'อิสรภาพด้านทุเรียน' (榴莲自由) เป็นสิ่งทื่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในประเทศจีน เพราะเป็นสิ่งที่คนจีนปรารถนาที่จะได้มา นั่นคือการได้รับประทานทุเรียนอย่างไม่มีข้อจำกัดด้านราคาและไม่มีข้อจำกัดในการนำเข้า 

โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านการนำเข้าสำคัญมาก เพราะทุเรียนมีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก จึงได้รับฉายาว่า "ผลไม้อายุสั้นที่สุด" จากข้อมูลของ 投中网 และให้ข้อมูลเพิ่มว่า ในบรรดาผลไม้ ทุเรียนสุกสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้เพียงสองถึงสามวันเท่านั้น ก่อนที่เนื้อจะเริ่มเน่าเสีย การขนส่งทุเรียนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังจีนมักต้องใช้ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร ทำให้การรักษาความสดของทุเรียนเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น

การจะบรรลุ 'อิสรภาพด้านทุเรียน' ได้จะต้องเริ่มจากการพัฒนาพันธุ์ทุเรียนที่สามารถปลูกในจีนได้ (ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเหมือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) และสามารถสนองความต้องการของตลาดได้ทุกฤดู เพราะตลาดทุเรียนของจีนนั้น "ไม่มีวันถมเต็ม" เพราะความต้องการไร้ขีดจำกัด แต่ก็มีการแข่งขันด้าน "สงครามราคา" อย่างดุเดือดเช่นกัน

ในเวลานี้ จากการรายงานของสำนักข่าวซินหัวเมื่อวันที่ 14 กันยายน ทำให้ทราบว่าจีนได้ขยับเข้าไปอีกขึ้นสู่  'อิสรภาพด้านทุเรียน' เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชาวบ้านในเมืองจิ่งหงและอำเภอเหมิงล่า เขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ได้เผยภาพถ่ายทุเรียนที่สุกงอมที่พวกเขาปลูกเอง 

มีรายงานว่า การปลูกทุเรียนทดลองขนาดใหญ่ประมาณ 1,000 หมู่ ของเมืองเหมิงล่า ซึ่งรวมถึงทุเรียนพันธุ์หมอนทองและทุเรียนพันธุ์มูซังคิง กำลังเติบโตอย่างงดงาม 

ความก้าวหน้าในการปลูกทุเรียนสองพันธ์สำคัญจากไทยและมาเลเซีย เกิดจากความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการขยายพันธุ์ ด้วยการปลูกทุเรียนร่วมแซมกับอะบิว (Pouteria caimito) อันเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจาแลุ่มน้ำแอมะซอน โดยวิธีการปลูกแบบนี้เรียกว่าวิธี 黄晶果套种 

ด้วยวิธีนี้เกษตรกรจึงสามารถให้ผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงอากาศหนาวจัด ซึ่งเป็นการสำรวจแนวทางใหม่ ๆ สำหรับการเพาะปลูกทุเรียนเขตร้อนในท้องถิ่นของประเทศจีน 

ไม่ใช่แค่เพียงที่สิบสองปันนาเท่านั้น เกษตรกรและทีมวิจัยในเขตหลินชาง ผู่เอ๋อร์ และเต๋อหงของยูนนาน ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเฉพาะตัวคล้ายกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังได้เริ่มทดลองปลูกทุเรียนในพื้นที่ขนาดใหญ่อีกด้วย

นอกเหนือจากมณฑลยูนนาน อีกพื้นที่ที่มีการปลูกทุเรียนอย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ คือเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ข้อมูลระบุว่า ณ สิ้นปี พ.ศ. 2567 พื้นที่ปลูกทุเรียนไหหลำได้เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 หมู่ (ประมาณ 1,000 เอเคอร์) รวมแล้วปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกประมาณ 70,000 หมู่ (ประมาณ 1,000 เอเคอร์) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนทุเรียนที่ผลิตในไหหลำยังคงค่อนข้างจำกัด 

แต่จากการรายงานของ 农民日报 ระบุว่า แม้จะยังมีผลผลิตน้อยแตค่ทุเรียนไหหลำก็ยังคงมีข้อได้เปรียบเหนือทุเรียนนำเข้าอย่างชัดเจน เพราะทุเรียนนำเข้าต้องผ่านกระบวนการการขนส่งที่ยาวนานทำให้ต้องเก็บเกี่ยวเมื่อสุกประมาณ 60-70% แล้วปล่อยให้สุกงอมระหว่างทางส่งไปยังตลาดภายในประเทศจีน ในขณะที่ทุเรียนที่ปลูกในประเทศจีนไม่ต้องปรับตัวตามเงื่อนไขปัจจัยนี้มากนัก

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - (ภาพประกอบข่าว) ชายคนหนึ่งขายทุเรียนบนถนนในบันดาอาเจะห์ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 (ภาพโดย Yasuyoshi CHIBA / AFP)

TAGS: #ทุเรียนจีน #จีน #ทุเรียน #อิสรภาพด้านทุเรียน