ในปีนี้ หลายคนคงจะเพิ่งรู้จักชื่อของเมืองสะกาย (หรือซะไกง์) เมืองใหญ่ทางภาคเหนือของเมียนมา เนื่องจากเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของแผ่นดินไหวใหญ่ที่สะเทือนมาถึงไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ซะไกง์ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำกับเมืองมัณฑเลย์ และตรงข้ามกับนครหลวงเดิม คือ อมรปุระ และรัตนปุระอังวะ
ความเป็นพิเศษของเมืองซะไกง์ก็คือ แม้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงโบราณตั้งหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับเมืองซะไกง์ เพราะที่นั่นมีภูเขาซะไกง์ (Sagaing Hills) อันเป็นที่ตั้งของวัดแลจเดีย์หลายร้อยแห่ง
หากเมืองพุกามเป็นทะเลแห่งเจดีย์แล้วไซร้ เมืองซะไกง์ก็คือมหาสมุทรแห่งวัดฉันนั้น
แต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ซะไกง์มีพระเถระที่ปฏิบัติปฏิบัติชอบหลายท่าน รวมถึงอุบาสกอุบาสิกาที่มีส่วนเผยแพร่การปฏิบัติวัปัสสนากรรมฐานแบบพม่า
ดังนั้น ซะไกง์จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่ง สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน แต่ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เทียบได้กับเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระรูปหนึ่งในสมัยศตวรรษที่ 18 ที่ชื่อ 'ตอง ปี ลา สยาดอ'
เรื่องนี้เคยโพสต์ในเพจของ Burma Dhamma ซึ่งเผยแพร่การปฏิบัติธรรในเมียนมาและนำเที่ยวทางศาสนา
แต่ปัจจุบันโพสต์เดิมได้หายไปแล้ว แต่ยังเผยแพร่ในเว็บไซต์ Insight Myanmar ผมจะวิวาสะขอเผยแพร่เนื้อหาที่แปลไว้แล้ว ณ ที่นี้ ...
เช่นเดียวกับพระภิกษุชาวพม่าผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากในรอบ 1,000 ปีที่ผ่านมา พระรูปนี้เลือกภูเขาซะไกง์ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เพื่อหลีกหนีจากควาเข้มงวดเกินไป (และความหย่อนยาน) ในนครหลวง แล้วมาเพลิดเพลินกับสันติและเงียบสงบของธรรมชาติ
กษัตริย์พม่าต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของตอง ปี ลา สยาดอ เพื่อให้แน่ใจว่าท่านเป็นพระที่สมควรได้รับความเคารพอย่างแท้จริง
ดังนั้นกษัตริย์จึงวางแผนให้ผู้หญิงเปลือยกายครึ่งคนวิ่งผ่านป่าไปพบกับท่านตอง ปี ลา สยาดอ แล้วขอร้องด้วยความกลัวว่า จะขอพักอยู่ในอารามของท่าน โดยอ้างว่ากลุ่มคนร้ายหวังข่มขืนและกำลังตามเอาชีวิต
ท่านตอง ปี ลา สยาดอ ปฏิเสธโดยบอกว่าเป็นการละเมิดพระวินัย
แต่ผู้หญิงคนยังนั้นยืนกราน ท่านจึงใจอ่อน ยอมให้เธออยู่ในกุฏิของท่าน ส่วนตัวท่านนอนข้างนอกในป่า
อย่างไรก็ตามในตอนกลางคืน ตอง ปี ลา สยาดอเกิดความต้องการทางเพศพลุ่งพล่านขึ้นมา เพราะมีหญิงสาวผู้งามงดและยังสาวสดอยู่ใกล้ๆ หลังจากครองพรหมจรรย์เป็นเวลาหลายปี ทำให้ท่านไม่สามารถตั้งจิตทำสมาธิได้
ดังนั้นท่านจึงหยิบมีดใกล้ ๆ แล้วกรีดฝ่ามือของตัวเองด้วยความเจ็บปวด จนทำให้ท่านรู้สึกถึงความรู้สึกตัวขึ้นมา
แต่ตัณหาไม่บรรเทาลง ท่านจึงกรีดผ่าฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ท่านจึงกรีดฝ่าเท้าทั้งสอง าและในที่สุดก็กรีดต้นขาให้เป็นแผล
วันรุ่งขึ้นกษัตริย์ก็ปรากฏตัวพร้อมกับคณะผู้ติดตามของพระองค์ และกล่าวหาท่านตอง ปี ลา สยาดอว่าประพฤติไม่เหมาะสม
ท่านตอบโต้ว่ามิได้ทำอะไรผิด แต่พระราชาอุทานว่า "จะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อมีหญิงสาวแทบจะเปลือยกายเดินออกมาจากกุฏิของพระคุณเจ้า?"
ตอง ปี ลา สยาดอจึงบใช้สัจจาธิษฐาน ด้วยการวางมีดลงในสระน้ำใกล้ๆ แล้วบอกว่า "อาตมาจะให้ มีดเป็นพยานความสัจจริง! ถ้าอาตมาโกหกขอให้มีดจม แต่ถ้าอาตมาพูดความจริงขอให้มันลอยผ่านน้ำไปยังอีกด้านหนึ่งของสระ"
ปรากฎว่า มีดไม่ได้จมลง และนับแต่นั้นตอง ปี ลา สยาดอ ก็กลายเป็นหนึ่งในพระภิกษุที่ผู้คนทั่วแผ่นดินเคารพนับถือที่สุด
จบเรื่องของตอง ปี ลา สยาดอ
ปัจจุบัน วัดที่ท่านตอง ปี ลา สยาดอเคยจำอยู่ คือ วัดชื่อเดียวกับท่าน (Taung Phi Lar Monastery) อยู่บนเทือกเขาซะไกง์นั่นเอง เป็นที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง
สำหรับคนไทยแต่ไรมา มักมองว่าพระพม่าไม่ค่อยเคร่งพระวินัย เพราะเห็นพระพม่ามักจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
แต่พระไทย "ชั้นผู้ใหญ่" ในเวลานี้การเมืองก็ยุ่งโดยลับๆ แถมยังยุ่งกับสีกาในที่รโหฐานอีก นับว่าสถานการณ์พระวินัยในเมืองไทยอาจจะเลวร้ายกว่าเมียนมาแล้วก็ได้
จะขอทิ้งท้ายด้วยทัศนะของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จากหนังสือ "ความทรงจำ" ซึ่งทรงเทียบเนื่องการถือพระธรรมวินัยของพระพม่า พระมอญ และพระไทย ใจความอยู่ที่ "พระสงฆ์ไทยชำนาญการแสดงธรรม แต่มิใคร่เอาใจใส่ในการปฏิบัติพระวินัยเคร่งครัดนัก เป็นเช่นนั้นมาแต่โบราณ"
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์เอาไว้ว่า
"... จะกล่าวถึงเรื่องวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ไทยในสมัยนั้นแทรก ลงสักหน่อย มีเรื่องตำนานเล่ากันมาแต่โบราณ (จะเป็นตำนานเกิดขึ้นในเมืองมอญ หรือในเมืองไทยหาทราบไม่) ว่าเมื่อพระสงฆ์ลังกาวงศ์เชิญพระไตรปิฎกมาจากลังกาทวีปนั้น เรือมาถูกพายุพลัดกันไป เรือลำที่ทรงพระวินัยปิฎกพลัดไปเมืองมอญ และเรือที่ทรงพระสุตตันตปิฎกพลัดมาเมืองไทย
ตำนานนี้อาจจะเป็นอุปมาไม่มีมูลทางพงศาวดาร แต่มีความจริงประหลาดอยู่ ที่พระสงฆ์ในเมืองมอญถือพระวินัยปิฎกเป็นสำคัญฝ่ายพระสงฆ์ทางเมืองไทย ถือพระสุตตันปิฎกเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นพระสงฆ์ไทยชำนาญการแสดงธรรม แต่มิใคร่เอาใจใส่ในการปฏิบัติพระวินัยเคร่งครัดนัก เป็นเช่นนั้นมาแต่โบราณ
ใช่ว่าพระสงฆ์ไทยจะเป็นอลัชชีหรือไม่มีความรู้นั้นหามิได้ แต่มามีเสียอยู่อย่างหนึ่งที่พระสงฆ์ไทยเชื่อถือคติปัญจอันตรธานในบริเฉทท้ายคัมภีร์ปฐมสมโพธิ เกินไป ในบริเฉทนั้นอ้างว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า เมื่อถึงกลียุค (คือยุคปัจจุบันนี้) พระพุทธศาสนาจะเสื่อมลงเรื่อยไป สติปัญญาและความศรัทธาอุตสาหะของคนทั้งหลายก็เลวลงทุกที จนไม่สามารถรักษาพระธรรมวินัยไว้ได้ ที่สุดเมื่อพุทธศักราชใกล้จะถึงห้าพันปี แม้พระสงฆ์ก็จะมีแต่ผ้าเหลืองคล้องคอหรือผูกข้อมือไว้พอรู้ว่าเป็นพระเท่านั้น
คติตามคัมภีร์นี้เป็นเหตุให้เชื่อกันว่าพระพุทธศาสนาที่เราถือกัน มีแต่จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา พ้นวิสัยที่จะคิดแก้ไขให้คืนดีได้ เมื่อเช่นนั้นก็พยายามรักษาพระธรรมวินัยมาแต่เพียงเท่าที่สามารถ จนเกิดคำพูดว่า ทำพอเป็นกิริยาบุญ ด้วยเชื่อคติที่กล่าวมานี้ ... "
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพจิตรกรรมฝาผนังหอไตร วัดระฆังโฆษิตาราม ภาพโดยผู้เขียน