ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาคราวนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า "ปัญญาชนบนหอคอยงาช้าง" มันเป็นอย่างไร
คนในวงวิชาการหลายคนไม่รู้เรื่องรู้ราวการเมืองประชาชนระหว่างประเทศเอาเลย และไม่รู้เบื้องลึกของการเมืองภายในของกัมพูชา ไม่รู้ว่า "ความคลั่งชาติ" ของกัมพูชานั้นเป็นภัยคุกคามต่อไทยมาหลายปีแล้ว ทั้งความคิดว่าประเทศข้ายิ่งใหญ่ (Chauvinism) ความกระหายสงคราม (Jingoism) และความต้องการดินแดนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (Irredentism)
ลักษณะพวกนี้เป็น "ความคลั่งชาติ" ที่ชัดเจนอย่างมากในบรรดา "กัมพูชาชน" แต่ไม่มีในหมู่คนไทย
ภัยคุกคามพวกนี้กัมพูชากระทำต่อไทยมาหลายปี โดยที่คนไทยพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบและอธิบายด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ระดับประชาชนเผชิญหน้ากันมาระยะหนึ่งแล้ว จนกระทั่งระดับรัฐบาลทำการเคลื่อนกองทัพมาประชิดชายแดนไทย ทำให้ "ภัยเขมร" เป็นรูปธรรมชัดเจนแล้ว
แต่แล้ว แทนที่นักวิชาการเมืองไทยจะเห็นอกเห็นใจคนไทยด้วยกันและประณามกัมพูชา กลับบอกว่า "คนไทยคลั่งชาติ"
เป็นความผิดเพี้ยนที่ไม่ใช่จะเพิ่งมี แต่เพี้ยนมานานแล้วในวงวิชาการ เพราะมีความลำเอียงต่อบ้านเมืองตัวเอง และเห็นใจบ้านเมืองอื่นเกินจำเป็น โดยคิดว่า "ประเทศไทยรังแกชาติเล็ก" และ "สิ่งที่เป็นไทยนั้นไม่มีจริงแต่สร้างขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจไว้"
นี่คือการเล่นลิ้นทางวิชาการโดยยึดมั่นถือมั่นกับหลักปรัชญาที่ล้าสมัยไม่อิงกับสถานการณ์โลก
นักวิชาการพวกนี้ยึดติดกับตำราสมัยทศวรรษที่ 1980 - 2000 ที่โปรโมทแนวคิดเรื่อง "ยุคหลังสมัยใหม่" (Postmodernism) ซึ่งเป็นการทำลายความคิดเดิมๆ จาก "ยุคสมัยใหม่" (Modernism) หนึ่ในแนวคิดของยุคสมัยใหม่คือ "การสร้างรัฐชาติ" (Nation state)
กรสร้างรัฐชาติก็คือการทำให้ประเทศยุคโบราณให้กลายเป็นรัฐสมัยใหม่ที่ประกอบด้วยคนพูดภาษาเดียวกัน มีศรัทธาร่วมกัน มีประมุขเดียวกัน และมีการปกครองเดียวกัน โดยรวมคือการสร้างเอกภาพให้ "คนพวกเดียวกัน"
"ชาติ" สมัยใหม่คือการทำให้ทุกคนเป็นสมาชิกของชุมชนใหญ่ที่ "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อเดียวกัน" นั่นเอง
แต่พอถึงยุค "ยุคหลังสมัยใหม่" พวกนักคิดเห็นว่ารัฐชาติมองข้ามชนกลุ่มน้อยและบางกรณียัง "คลั่ง" เพราะคิดว่าชาติตนเหนือกว่kชาติอื่นๆ ทำให้นักคิดต่างๆ วิจารณ์ความเป็น "ชาติ" มากขึ้น ถึงขั้นบอกว่า "ชาติเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง" และ "พรมแดนไม่มีอยู่จริง" เพราะเพิ่งสร้างขึ้นมาในยุคสมัยใหม่ และควรที่จะ "รื้อถอนมันออกไป"
โดยโวหารปรัชญาแล้วมันก็ถูก แต่เอาเข้าจริงไม่มีใครที่ไหนกล้าทำให้ "พรมแดนไม่มีอยู่จริง" เพราะแค่เดินข้ามพรมแดนอีกชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตก็อาจกลายเป็นศพได้
และการบอกว่า "ชาติเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง" เพราะเป็นการสร้างใหม่และประกอบขึ้นมาจากปัจจัยต่างๆ มันก็ถูกอีกนั่นแหละ แต่ถูกในทางโวหารวิชาการ หากไปโพนทะนากับชาติอื่นว่า "ชาติเราสิ่งไม่มีอยู่จริง" มีหวังอีกชาติหนึ่งจะกรีฑาทัพมาช่วงชิงเอาง่ายๆ เพราะเจ้าของชาติสละสิทธิ์ความเห็นเจ้าของประเทศตัวเองเสียแล้ว
เรื่องพวกนี้เหมือนหลักอภิธรรมทางพุทธศาสนา คือ "สมมติ" และ "ปรมัตถ์"
เช่น บ้านหลังหนึ่งประกอบด้วย คาน เสา ประตู หลังคา ฯลฯ โดยปรมัตถ์แล้วบ้านจึงไม่มีอยู่จริง เพราะประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ มาประกอบกัน "ชาติ" เองก็เช่นกัน ดังนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันมากนัก เพราะมันไม่มีอยู่จริงๆ ในระดับสูงสุด
แต่ศาสนาพุทธยังสอนว่า ในโลกที่จับต้องได้ยังต้องมีการ "สมมติ" คือ บ้านเราแม้จะมาจากส่วนประกอบต่างๆ กัน แต่มันก็ยังสมมติว่าเป็นบ้านอยู่ดี และยังต้องสมมติว่า "บ้านของใคร" อีกด้วย เพราะเราอยู่บนโลกสองมิติ คือ โลกที่ยังต้องใช้ชีวิตประจำวัน กับโลกระดับสัจธรรมสูงสุด ซึ่งมีไว้สำหรับผู้ปล่อยวางแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าจะคิดว่า "ชาติไม่มีอยู่จริง" ก็ควรจะเป็นคนระดับพระอรหันต์ แต่สำหรับคนเดินดินอย่างเราๆ ที่อยู่แวดล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่จ้องจะทำร้ายเราอยู่ตลอดเวลา หากยังคิดแบบพระอรหันต์ ระวังจะสิ้นชาติเอาง่ายๆ
นักวิชาการไทยที่เอาแต่คิดเรื่อง "ชาติไม่มีอยู่จริง" และด่าคนไทยว่า "อย่าคลั่งชาติ" จึงทำตัวเป็นดั่งพระอรหันต์ทั้งๆ ที่ใช้ชีวิตแบบปุถุชน และยกตนว่ารู้หลักปรมัตถ์ แต่กลับไม่เข้าใจโลกสมมติที่ตัวเองยังต้องใช้ชีวิตอยู่
ฝีปากทางปรัชญาแบบนี้เป็นเรื่องสนุกสำหรับนักคิดที่จะถกเถียงกันเอามัน แต่พอมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วมันทำไม่ได้ และเป็นภยันตรายใหญ่หลวงด้วยซ้ำ
ย้อนกลับไปตอนแนวคิด "ยุคหลังสมัยใหม่" กำลังเฟื่องฟู กระแสชาตินิยมก็ถูกท้าทายและบ่อยทำลายด้วยลิทธิ "ยุคหลังชาตินิยม" (Postnationalism) โดยกลุ่มนักคิดและผู้นำที่ฝันว่าโลกของเราหลังจากนั้นจะไม่มีชาติและพรมแดนอีกต่อไป
เช่น แคนาดาพยายามประกาศตัวเองว่าเป็น The first postnationalist country โดยอ้าแขนรับผู้อพยพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเชื้อชาติ และสลาย "ความเป็นแคนาดา" อันเป็นที่สุดแห่งความเป็นชาติ
ผลคืออะไรหรือครับ? ตอนนี้ผู้อพยพมาปักหลักในแคนาดาจนล้นหลาม ทำให้คน "แคนาดาดั้งเดิม" อึดอัดและต่อต้าน เพราะคนมาใหม่เหล่านี้ไม่รับค่านิยมและความเป็นแคเนเดียนอันเป็นแกนหลักของชาติ พอเข้ามาแล้วก็ตั้งชุมชนของตนเองไม่เอาใคร และไม่แยแสใครว่าตัวเองจะทำนิสัยแบบบ้านเดิม
พอ "คนดั้งเดิม" เห็นค่านิยมและความเป็นชาติแคนาดนาถูกบ่อนทำลายโดยพวกไร้ชาติ คนกลุ่มแรกหันไปสนบสนุนฝ่ายชาตินิยมและฝ่ายขวา ทำให้ตอนนี้แคนาดาเกือบจะเป็นรัฐชาตินิยมเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว แบบเดียวกับสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป
ครับ ในเวลานี้ โลกหันหลังให้กับ Postnationalism แล้วโดยสิ้นเชิง และหันมาอ้าแขนรับ Nationalism อย่างกว้างขวาง ทุกทวีปล้วนแต่เกิดกระแสชาตินิยมและขวา
แม้แต่ในไทยเอง พอถูกคุกคามโดยกัมพูชา กระแสชาตินิยมก็เกิดขึ้นมาเองอีกครั้ง พร้อมทั้งการเรียกร้องห้กองทัพเคลื่อนไหวกระทั่งเชิญให้มาปฏิวัติ อันเป็นแนวคิด "ขวาจัด" ทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นกระแสความเคลื่อนไหวที่ "ปกติ" ของมนุษยชาติ เพราะเมื่อถูกคุกคาม ความรักพวกพ้อง รักค่านิยมเดียวกัน รักชุมชนเดียวกัน (คือชาติ) ก็จะพุ่งทะยานขึ้นมา
พูดง่ายๆ "ความรักชาติ" คือ Defence mechanism หรือ กลไกป้องกันตัวเอง ไม่ใช่การปลุกปั่นขึ้นมาให้ "คลั่ง"
นักวิชาการบางคนเสียอีกที่ไม่เข้าใจคนไทยเอาเลย ยึดมั่นกับปรัชญาที่ล้าหลัง ไม่มีความเป็นปฏิบัตินิยม มิหนำซ้ำยังตำหนิประชาชนคนไทยโดยไม่พิจารณาถึงภัยคุกคามที่คนไทยต้องเผชิญ กลับไปเห็นอกเห็นใจภัยคุกคาม และอ่อนด้อยในเรื่องเล่ห์กลของเพื่อนบ้าน
ความผิดประหลาดเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากการมองคนไทยด้วยกันว่าด้อยสติปัญญา และมองเพื่อนบ้านว่าควรได้รับความเมมตามากกว่า
โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าเพื่อนบ้านได้ก้าวข้ามจาก "ความรักชาติ" กลายมาเป็น "ความคลั่งชาติ" อย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขากลับมืดบอดแล้วหันมาชี้หน้าต่อว่าพี่น้องร่วมชาติกันเอง
การศึกษาปรัชญาการเมืองในไทยมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดแล้วหลังการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะไม่มีแนวคิดอะไรที่อธิบายการเมืองเราได้อย่างเป็นระบบเลย นี่นับว่าสร้างความผิดหวังให้ผมอย่างมากอยู่แล้ว
ครั้นเห็นนักคิดนักครูไม่ได้เข้าใจการเมืองระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านอีก และยึดติดกับแนวลัทธิที่ล้าหลังจนด้อยค่าประเทศตัวเอง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหมดความนิยมในหมู่ปัญญาชนบ้านเมืองเรา
ราวกับว่า "การเป็นนักชาตินิยม" หรือแม้แต่การมองประเทศต้วเองในแง่ดี เป็น "บาป" ในสายตานักวิชาการเหล่านี้ และการเป็น "พวกต่อต้านชาติ" คือใบรับรองการเป็นนักวิชาการของบ้านเมืองเรา
ในยุคสมัยนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจว่า "ทำไมเพื่อนบ้านไทยจึงชาตินิยมกันหมด" แต่ไม่มีนักวิชาการคนไหนตำหนิเลย ตรงกันข้ามพวกนี้เสียอีกที่ตำหนิว่าคนไทยคลั่งชาติ
ทั้งๆ ที่ในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา "ชาตินิยมไทย" และ "ความเป็นไทย" ถูกคนเหล่านี้บ่อนทำลายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเราเกือบจะไม่เหลือมันไว้ให้ยึดเหนี่ยวในวันที่เราถูก "กัมพูชาคลั่งชาติ" โจมตี "ประเทศอันเป็นที่รักของเรา"
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by MANAN VATSYAYANA / AFP