จริงหรือไม่ที่รัฐบาลเอาแต่อุ้มคนรวย แต่ปล่อยคนจนคน-ชั้นกลางช่วยตัวเอง "?

จริงหรือไม่ที่รัฐบาลเอาแต่อุ้มคนรวย แต่ปล่อยคนจนคน-ชั้นกลางช่วยตัวเอง

"สังคมนิยมสำหรับคนรวยและระบบทุนนิยมสำหรับคนจน" "Socialism for the rich and capitalism for the poor"  เป็นประเด็นโต้แย้งประเด็นหนึ่งในทางเศรษฐศาสตร์การเมือง (การศึกษาการเมืองที่อิงกับอิทธิพลทางเศรษฐกิจโดยใช้มุมมองของฝ่ายซ้าย) ข้อโต้แย้งนี้เสนอว่า ในสังคมทุนนิยมที่ก้าวหน้า นโยบายของรัฐจะเอื้อให้ทรัพยากรจะไหลไปสู่คนรวยมากกว่าไปสู่คนจน หรือหมายความว่า รัฐจะเอื้อคนรวยมากกว่าคนจน ในขณะที่คนจนต้องอยู่แบบปากกัดตีนถีบเอาเอง

การที่รัฐช่วยเหลือ "ประชาชน" ผ่านสวัสดิการของรัฐ เรียกว่าว่านโยบาบแบบสังคมนิยม (Socialism) แต่ "ประชาชน" ที่ได้รับความช่วยเหลือนี้ควรจะเป็นประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ต่ำจนถึงปานกลาง ส่วน "ประชาชนที่มีฐานะร่ำรวย" ควรจะเป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลเรียกกเก็บภาษีมากๆ เพื่อนำเงินมาเฉลี่ยให้กับคนที่จนกว่า เพราะแนวคิดสังคมนิยมระบุว่า คนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ รวยได้เพราะ "การขูดรีด" (Exploitation) จากการกดค่าแรงให้ต่ำและใช้อำนาจเข้าถึงทรัพยากรที่ควรจะเป็นของส่วนกลาง

การที่รัฐไม่ช่วยเหลือประชาชนเลย แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกที่มองไม่เห็น (Laissez-faire) เรียกว่านโยบายแบบทุนนิยม (Capitalism) โดยปล่อยให้ประชาชนแข่งขชันกันเอาเอง และสะสมทุนกันเอาเอง เพราะเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนได้เองไปตทมครรลองของมัน แม้ว่าศักยภาพของประชาชนที่จะแข่งขันกันนั้นไม่เท่ากันก็ตาม เพราะยิ่งประชาชนกลุ่มหนึ่งมีโอกาสมากกว่าและมีทุนมากกว่า พวกนี้ก็ย่อมตักตวงได้มากกว่าไปเรื่อยๆ 

จากนิยามเหล่านี้ จึงมาถึงสมมติฐานที่ว่า "คนจนควรจะได้รับประโยชน์จากสังคมนิยม ส่วนคนรวยควรจะได้รับประโยชน์จากทุนนิยม"

แต่กลับมีข้อโต้แย้งว่า "สังคมนิยมสำหรับคนรวยและระบบทุนนิยมสำหรับคนจน" ต่างหาก นั่นก็เพราะ รัฐบาลต่างๆ มักจะเอื้อคนรวย และปล่อยให้คนจนแข่งขันกันไปเอง 

เรื่องนี้มีส่วนจริงหรือไม่? นักวิชาการเหล่านี้มีคำตอบ

1. นอว์ม ชอมสกี้ (Noam Chomsky) นักภาษาศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ชื่อดังของโลก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "ตลาดเสรีคือลัทธิสังคมนิยมสำหรับคนรวย" และบอกตลาดเสรี นั้นถูกใช้กับ "สำหรับคนจนส่วนการคุ้มครองโดยรัฐมีไว้สำหรับคนรวย" เขายังกล่าวว่าคนรวยและมีอำนาจ "ต้องการที่จะเป็นผู้บงการรัฐที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองได้" เพื่อที่ว่า "เมื่อพวกเขาประสบปัญหา ผู้เสียภาษีจะช่วยอุ้มพวกเขาให้รอดพ้น" โดยอ้างว่า "ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว" (too big to fail) เช่น กรณีที่ธนาคารและสถาบันการเงินของสหรัฐฯ บริหารผิดพลาดจนล่มเป็นแถบๆ แต่รัฐบาลใช้เงินภาษีประชาชนมหาศาลไปอุ้มกิจการเหล่านั้น 

2. สิ่งที่ ชอมสกี้ กล่าวว่า "เมื่อพวกเขาประสบปัญหา ผู้เสียภาษีจะช่วยอุ้มพวกเขาให้รอดพ้น" นั่นหมายความว่า เมื่อคนรวยบงการรัฐได้ เวลาที่ธุรกิจของพวกเขาประสบปัญหา พวกเขาก็จะอ้างว่าธุรกิจของพวกเขา "ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว" โดยอ้างว่าเพราะธุรกิจนั้นๆ ยึดโยงกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ และการจ้างงานมาก หากปล่อยให้ล้มจะเป็นอันตรายต่อประเทศ ดังนั้น รัฐ (ที่เป็น "เบ๊" ของคนรวยอยู่แล้ว) ก็จะอ้างเหตุผลนั้น เพื่อโยกงบประมาณจากภาษีประชาชนที่เก็บจากคนจนและคนชั้นกลาง มาช่วยอุ้มธุรกิจของคนรวย และยังลดภาษีให้กับธุรกิจของคนรวยด้วย โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

3. เมื่อการเมืองตกอยู่ภายใต้การบงการของคนมีเงินแล้ว มันจะทำลายระบอบประชาธิปไตยไปด้วย ชอมสกี้ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้กับ truthout ว่า "ลัทธิทุนนิยมทำงานเพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตยอย่างแท้จริง .. (คือ) วงจรอันเลวร้ายของการรวมตัวกันของอำนาจและความมั่งคั่ง มันเป็นมาแตาไหนแต่ไร ถึงขนาดที่อดัม สมิธ (Adam Smith  ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งหลักทุนนิยม)  อธิบายไว้ในปี 1776 ด้วยซ้ำ เขากล่าวไว้ใน Wealth of Nations (หนังสือว่าด้วยหลักทุนนิยม) อันโด่งดังของเขาว่า ในอังกฤษนั้น ผู้คนที่เป็นเจ้าของสังคมในสมัยของเขา คือพ่อค้าและผู้ผลิต ถือเป็น “สถาปนิกหลักของนโยบาย” และพวกเขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับการดูแลอย่างดี แม้ว่านโยบายที่พวกเขาสนับสนุนและดำเนินการผ่านรัฐบาลจะส่งผลร้ายแรงต่อประชาชนอังกฤษหรือคนอื่นๆ ก็ตาม 

4. สำหรับในยุคปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรนักกับเมื่อสามร้อยกกว่าปีก่อน ชอมสกี้ ชี้ว่า ตอนนี้ไม่ใช่พ่อค้าและผู้ผลิตที่เป็นเจ้าของสังคมและกำหนดนโยบาย อต่เป็นสถาบันการเงินและบริษัทข้ามชาติ "ปัจจุบันคนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่อาดัม สมิธเรียกว่านายแห่งมนุษยชาติ"  คนเหล่านี้กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่าง "เพื่อตัวเราเองและไม่ทำอะไรเลยเพื่อใครอื่น พวกเขาจะดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาและเป็นอันตรายต่อคนอื่นๆ เพราะผลประโยชน์ของทุนนิยมกำหนดว่าพวกเขาทำเช่นนั้น มันเป็นธรรมชาติของระบบ และหากไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ได้รับความนิยมโดยทั่วไป คุณก็จะได้ยอมรับมันเพียงแค่นั้น" 

5. สิ่งที่ ชอมสกี้ กล่าว กลายเป็นคำอธิบายที่ชัดเจนของประโยคที่ว่า "สังคมนิยมสำหรับคนรวยและระบบทุนนิยมสำหรับคนจน" "Socialism for the rich and capitalism for the poor" โดยประโยคนี้แพร่หลายโดยหนังสือชื่อ The Other America โดยไมเคิล แฮร์ริงตัน (Michael Harrington) นักคดสายประชาธิปไตยสังคมนิยมชาวอเมริกัน ที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาความยากจนในสหรัฐอเมริกา นอกจากประโยคที่ว่านั้นแล้ว ยังมีประโยคอื่นๆ ที่มีความหมายคล้ายๆ กัน เช่น "แปรรูปผลกำไร แล้วใช้สังคมนิยมกับความเสี่ยง" (privatize profits and socialize risks) หมายถึง แทนที่จะรัฐจะคุ้มครองธุรกิจของชาติที่ทกำไรให้คนทั้งชาติ แต่กลับแปรรูปธุรกิจเหล่านั้นให้กับเอกชนไปกอบโกยกำไร แต่พอธุรกิจเอกชนพวนั้นตกอยู่ในความเสี่ยง รัฐกลับเอาภาษีประชาชนไปช่วยเสียอย่างนั้น 

Photo by Charly TRIBALLEAU / AFP
 

TAGS: #อุ้มคนรวย