ปตท.เดินหน้าพัฒนาธุรกิจ LNG เพิ่มมูลค่าการค้า 9 ล้านตันต่อปี คู่ขนานแนวคิด Net Zero ดึงความเย็นจากก๊าซปลูกไม้ดอก-ผลไม้เมืองหนาว สร้างงานสร้างรายได้
ปัจจุบันประเทศไทยใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักทั้งการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันการใช้ประโยชน์จากก๊าซฯมีมากกว่าการนำไปเผาเชื้อเพลิง
ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG (Liquefied Natural Gas) คือก๊าซธรรมชาติที่ผ่านการลดอุณหภูมิจากติดลบให้อยู่ในรูปของเหลว เพื่อให้ขนส่งได้โดยง่ายทางเรือ เนื่องจากมีปริมาตรน้อยกว่าสถานะที่เป็นก๊าซ 600 เท่า ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการขนส่ง และสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซเมื่อต้องการใช้งาน
ทั้งนี้ในระหว่างการเปลี่ยนสถานะของ LNG จากของเหลวให้กลับมาเป็นก๊าซดังเดิมนั้น จะใช้ความร้อนจากน้ำทะเลในการแลกเปลี่ยนในอุณหภูมิ ทำให้ LNG มีความร้อนสูงขึ้นจนเปลี่ยนเป็นก๊าซในที่สุด แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในกระบวนการนี้ก็คือ “พลังงานความเย็น” เนื่องจากว่า LNG ซึ่งอยู่ในสถานะของเหลวนั้นมีอุณหภูมิต่ำมากอยู่ที่ติดลบ160 องศาเซลเซียส พลังงานความเย็นที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้เราจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่น ปลูกพืชเมืองหนาว แยกอากาศเพื่อผลิตก๊าซอุตสาหกรรม ประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ (Cryotherapy) ถนอมอาหารและผลไม้ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและเพิ่มประสิทธิภาพของโซลาร์เซลล์
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ปตท.วางแผนพัฒนาธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ให้เป็น LNG Regional Hub ของภูมิภาค ที่ผ่านมาได้เตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG Receiving Terminal จำนวน 2 แห่ง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง มีกำลังแปรสภาพ LNG รวม 19 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. จะเพิ่มปริมาณการค้า LNG ให้ได้ 9 ล้านตันต่อปี ในปี 2030 หรือ ปี 2573 โดยตั้งหน่วยธุรกิจฯ ขึ้นมารองรับ ซึ่งจะมีการจำหน่ายในลักษณะนำเข้า LNG แล้วกระจายจำหน่าย LNG ในภูมิภาค เช่น จีนตอนใต้ กัมพูชา ด้วยระบบขนส่งทางรถยนต์ และขนส่งทางเรือขนส่ง LNG ขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามทั่วโลกมีแผนลดโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์ เชื่อมั่นว่า LNG จะเป็นที่นิยมมากขึ้น ล่าสุด ปตท.ได้ซื้อพื้นที่ติดกับสถานี LNG แห่งที่ 2 ในพื้นที่บ้านหนองแฟบ 160 ไร่ เพื่อรองรับโรงงานที่จะมาใช้ความเย็นจากการแปรสภาพ LNG ซึ่งมีหลายโรงงานให้ความสนใจ เช่นระบบโรงไฟฟ้าของ GPSC บริษัทที่ให้บริการ cloud solutions ระบบโรงแยกก๊าซ
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากการใช้ความเย็นLNGให้เกิดประโยชน์คือการสร้างโรงเรือนปลูกไม้เมืองหนาว ที่ อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา (Flora Exhibition Hall) ในสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 ที่บ้านหนองแฟบ จ.ระยอง ซึ่งมีการออกแบบอาคารให้ใช้ประโยชน์จากความเย็นในกระบวนการผลิต LNG โดยนำพลังงานความเย็นที่เหลือ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแปรสภาพ LNG มาใช้ในระบบปรับอากาศ
รวมถึงการปลูกดอกไม้เมืองหนาวภายในอาคาร ด้วยการควบคุมอุณหภูมิ 15 องศษ อย่าง ทิวลิป ลิลลี่ ไฮเดรนเยียร์ ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะปลูกจนออกดอกปีละ 3 ล้านดอก สามารถสร้างรายได้ได้ 10 ล้านบาทต่อปี ช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดการนำเข้าไม้ดอกเมืองหนาวได้ ขณะเดียวกันยังสามารถส่งออกไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าชมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในวันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 9.30 – 16.30 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ขณะเดียวกันหากใครที่ชื่นชอบ สตรอว์เบอรี่ สด เนื้อแน่ ฉ่ำน้ำ มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ สายพันธุ์ญี่ปุ่น “อะกิฮิเมะ” และสายพันธุ์ ไทย เป็นสายพันธุ์พระราชทาน 80 แวะมาได้ที่ โรงเรือนสตรอว์เบอร์รีและพันธุ์ไม้เมืองหนาว ตั้งอยู่ที่สวนสมุนไพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในตำบลมาบข่า อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ซึ่งสามารถปลูกสตรอว์เบอรี่ได้ตลอดทั้งปี และถูกพัฒนายจนสามารถต่อยอดเกิด “แบรนด์ Harumiki” ขึ้นมา โดยสตอรว์เบอรี่ที่นี่ มีกำเนิดเกิดจากพลังงานความเย็นที่เหลือจากการแปรสถานะของ LNG เช่นเดียวกับดอกทิวลิป