ยูนิโคล่ มุ่งสู่การเป็น ฟาสต์ รีเทล เสื้อผ้าอย่างยั่งยืนระดับโลก แผนในไทยหนุนใช้ไอเทม ‘LifeWear’ ผ่านบริการ RE.UNIQLO Studio พร้อมร่วมมือองค์กร-กทม. ลดฝุ่น PM2.5
โยชิทาเกะ วาคะกุวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ยูนิโคล่ ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าความยั่งยืนตามนโยบายระดับโลกจาก Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo โดยในปี 2568 ยูนิโคล่ จะดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายหลักด้านความยั่งยืน ผลิตเสื้อผ้าที่สอดคล้องกับแนวคิด LifeWear และช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืนผ่านธุรกิจ
“ในกระบวนการสร้างสรรค์ไลฟ์แวร์ ยูนิโคล่กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องไปสู่ห่วงโซ่อุปทานที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจเมื่อซื้อเสื้อผ้าของเรา พร้อมวางแผนควบคุมสต็อกสินค้าโดยยูนิโคล่จะผลิตเสื้อผ้าออกมาให้สอดคล้องกับเป้าหมายยอดขายที่วางไว้ในแต่ละปี” วาคะกุวะ กล่าวพร้อมเสริมว่า
สำหรับในปี 2568 ยูนิโคล่วางเป้าหมายและแผนการด้านความยั่งยืนในประเทศไทย ผ่านกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่องทั้งใน โครงการ RE.UNIQLO Warmth for All พร้อมตั้งเป้ารับบริจาค 160,000 ตัว คิดเป็น 130% จากยอดเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคในปี 2567 และร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านร่มไทร และ UNHCR ประเทศไทย รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ
โดยในส่วนจของ RE.UNIQLO Studio ยังสนับสนุนให้คนไทยใช้ไอเทม LifeWear ที่มีอยู่ให้ยาวนานและยั่งยืนยิ่งขึ้นผ่านบริการ RE.UNIQLO Studio สร้างสรรค์ลายปักใหม่ๆ และลายปักในช่วงเทศกาล อาทิ สงกรานต์, Pride Month และคริสต์มาส อย่างต่อเนื่อง และเน้นบริการอื่นๆ อาทิ บริการปักลาย Sashiko (ซาชิโกะ) ที่เป็นลายแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งจะปรับโฉมให้เสื้อผ้าของคุณมีเอกลักษณ์และไม่ซ้ำใคร และการบริการซ่อมแซมเสื้อผ้าตัวโปรดของคุณ
นอกจากนี้ ยังมีแผนการจ้างงานพนักงานผู้พิการ ต่อเนื่องจากในปี 2567 ยูนิโคล่มีการจ้างงานพนักงานผู้พิการทั้งสิ้น 28 คน และ ในปี 2568 นี้ ยูนิโคล่ตั้งเป้าหมายในการจ้างพนักงานผู้พิการทั้งสิ้น 33 คน
พร้อมสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยผ่านการเล่นกีฬา ภายใต้โครงการ UNIQLO NEXT GENERATION DEVELOPMENT PROGRAM โดยในปี 2568 ยูนิโคล่ตั้งเป้าว่าจะจัดกิจกรรมร่วมกับเยาวชนไทยกว่า 150 คนทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อช่วยผลักดันแผนการด้านความยั่งยืนในประเทศไทย ในด้านต่างๆ ดังนี้
- PM Warrior Award - Kids & Rajapruk Foundation & BMA โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้สำหรับเยาวชนไทยในเรื่อง PM 2.5
“ยูนิโคล่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อให้ความรู้รอบด้านผลกระทบเชิงลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นและนำไปสู่ปัญหามลภาวะฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งจะเป็นโปรเจกต์ทำต่อเนื่องในระยะยาว” วาคะกุวะ กล่าว
- ความร่วมมือกับ UNESCO สำหรับโครงการ “Sustaining Our OCEANS”
- ความร่วมมือกับ GC และสาธิตจุฬา สำหรับการนำวัสดุที่ถูกใช้งานแล้วมาใช้งานใหม่อีกครั้ง
รวมไปถึง ก้าวสู่เป้าหมายการลดขยะให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) ลดการใช้พลาสติกในการขนส่ง โดยรวมบรรจุภัณฑ์เสื้อผ้าเข้าด้วยกันในถุงพลาสติกใบเดียวในการขนส่งจากโรงงานผลิตมายังร้านยูนิโคล่ ซึ่งประเทศไทยจะเริ่มดำเนินการสำหรับสินค้าฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิในปี 2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 1 ใน 4 ภายในปีนี้ สนับสนุนให้ลูกค้าใช้ถุงผ้าของตนเอง เพื่อลดการใช้ถุงกระดาษ การใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งที่ร้านสาขาและสำนักงานใหญ่
วาคะกุวะ กล่าวว่า สำหรับ LifeWear = a New Industry คือ แนวคิดที่ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง มองว่า สามารถบริหารระบบซัพพลายเชนทั้งหมดได้ดีขึ้น ควบคุมขั้นตอนการผลิตทั้งหมดได้โดยตรงตั้งแต่ คุณภาพ การจัดซื้อ การผลิต สิ่งแวดล้อม และสิทธิพื้นฐานของแรงงาน
ในขณะเดียวกัน ยูนิโคล่มีความตั้งใจที่จะเร่งการแสวงหาโมเดลธุรกิจแบบหมุนเวียนมากขึ้น ในแง่ของการลด (reduce) การใช้ซ้ำ (resue) และการรีไซเคิลเสื้อผ้าและทรัพยากร (recycle) เพื่อยืดอายุการใช้งานของ LifeWear อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
โดย ฟาสต์ รีเทลลิ่ง บริษัทแม่ของยูนิโคล่ ได้วางป้าหมายด้านความยั่งยืนและแผนปฏิบัติการสำหรับปีงบประมาณ 2023 (พ.ศ.2573) โดยมี 2 แกนหลัก ดังนี้
ผลิตเสื้อผ้าที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ยูนิโคล่ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของเราเองได้ 69% และลดจากห่วงโซ่อุปทานได้ 10% โดยสัดส่วนของวัสดุรีไซเคิลได้เพิ่มขึ้นเป็น 18.2% ในปี 2567
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมาย ‘ขยะเป็นศูนย์’ (Zero Waste) โดยมุ่งมั่นลดวัสดุเหลือทิ้งเมื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า
ผลิตเสื้อผ้าที่ดีสำหรับผู้คนและสังคม
สร้างความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่อุปทาน (Traceability) และยังจัดซื้อวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ รวมถึงการมีส่วนร่วมส่งเสริมโครงการกิจกรรมเพื่อสังคมทั่วโลก โดยปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา มีผู้ได้รับประโยชน์ทั่วโลกกว่า 2.34 ล้านคน มีการบริจาคสิ่งของ 4.77 ล้านตัว และมูลค่ากิจกรรมการบริจาค 8.2 พันล้านเยน หรือ 1.8 พันล้านบาท
ขณะที่เสื้อยืดการกุศล Peace for All มีผู้ร่วมสร้างสรรค์ลวดลายทั้งหมด 42 ท่าน มีการจำหน่ายเสื้อยืดไปทั่วโลกจำนวน 6.28 ล้านตัว สร้างยอดบริจาคได้ถึง 1,833 พันล้านเยน (ยอดอัปเดตล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2567)
สำหรับโครงการ “The Heart of LifeWear” เป็นโครงการระดับโลกครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ยูนิโคล่ตั้งคำถามว่า ‘What makes life better?’ หรือ ‘อะไรที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น?’ เพื่อค้นหาว่าแบรนด์จะสามารถทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมผ่านไลฟ์แวร์ (LifeWear) ได้อย่างไรบ้าง เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีของยูนิโคล่ในปี 2567
โดยโครงการ ‘The Heart of LifeWear’ ตั้งเป้าในการส่งมอบฮีทเทค (HEATTECH) และ เสื้อผ้า LifeWear อื่นๆ จำนวน 1 ล้านตัว แก่ผู้ถูกบังคับให้พลัดถิ่น เด็กๆ ที่ขาดแคลน และผู้ประสบภัยพิบัติทั่วโลก ซึ่ง ยูนิโคล่จะบริจาคเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงสภาพอากาศของพื้นที่ของผู้รับบริจาคเป็นสำคัญ และในปี 2567 ได้ทำโครงการ RE.UNIQLO ‘Warmth for All’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 มีเป้าหมายการบริจาคเสื้อกันหนาวจำนวน 50,000 ตัว โดยยูนิโคล่เปิดรับบริจาคที่ร้านยูนิโคล่ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ ยูนิโคล่ ได้รับการบริจาคเสื้อผ้ากว่า 122,835 ตัว (เพิ่มขึ้นกว่า 130% จากปี 2566) โดยมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กกว่า 15,847 ตัว (เพิ่มขึ้นกว่า 158.2% จากปี 2566) สอดคล้องกับตามความต้องการที่แท้จริงของคนในพื้นที่ ซึ่งมีเยาวชนอยู่จำนวนมาก และได้ส่งมอบให้กับองค์กรพันธมิตรทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิบ้านร่มไทร จำนวน 10,000 ตัว เพื่อผู้ที่มีความต้องการในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดเชียงใหม่, มูลนิธิ กระจกเงา จำนวน 20,000 ตัว และ UNHCR จำนวน 20,000 เพื่อผู้ลี้ภัยในส่วนของการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ต้องการเสื้อผ้า
“มีผู้ได้รับผลประโยชน์กว่า 35,000 คน จากการบริจาคเสื้อผ้าจำนวน 86,802 ตัวในปี 2567 ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ยูนิโคล่ ประเทศไทย ได้บริจาคเสื้อผ้าและส่งเสริมการนำกลับมาใช้ไปแล้วกว่า 1.3 ล้านตัว” วาคะกุวะ กล่าว
นอกจากนี้ ยูนิโคล่ ยังบริจาคเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทที่ได้จากการจำหน่ายถุงกระดาษในร้านยูนิโคล่ แก่มูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ พร้อมจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ที่สวนป่านิเวศอ่อนนุช ภายใต้โครงการ Let’s Grow Together ร่วมกับกรุงเทพมหานคร พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ในปีนี้
พร้อมริเริ่มโครงการ UNIQLO NEXT GENERATION DEVELOPMENT PROGRAM ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยยูนิโคล่ได้จัดกิจกรรมฝึกทักษะฟุตบอลร่วมกับเยาวชนไทยอายุ 8 - 10 ปี กว่า 100 คนในปี 2567 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยูนิโคล่ ยังดำเนินการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% โดยนับตั้งแต่ ปี 2564 ยูนิโคล่ยื่นใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% หรือที่เรียกว่า I-REC รณรงค์ลดการใช้พลังงานที่ร้านสาขาและสำนักงานใหญ่