ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง "ปชน.-ภท." ทำ MOA ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง 

ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง
ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง "พรรคประชาชน-พรรคภูมิใจไทย"  ทำ MOA หนุน  "อนุทิน" นั่งนายกรัฐมนตรี ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 สั่งพยานทำบันทึกถ้อยคำ ยื่นแจงกรณี "ภูมิธรรม-ทวี"

ศาลรัฐธรมนูญ ประชุมปรึกษาคดี โดยมีมติเอกฉันท์ไม่รับ 2 คำร้อง กรณีที่มีผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า การจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ผู้ถูกร้องที่ 2) กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล (ผู้ถูกร้องที่ 3) ในฐานะหัวหน้า พรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยตกลงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 พิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยมติพรรคการเมืองยินยอมให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตกอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันไว้ล่วงหน้า อันมีลักษณะที่เป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน จำนวน 143 คน กระทำการตกลง กันเพื่อแบ่งปันอำนาจอธิปไตย ด้วยการบิดเบือนอำนาจ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า

การก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 และมาตรา 185 การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสี่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกรองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำ ดังกล่าวแล้ว แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องจึงยื่นยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 ผลการพิจารณา

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสาร ประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 กับผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสี่กระทำการอื่นใดอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิบไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

สั่งพยานทำบันทึกถ้อยคำ ยื่นแจงกรณี "ภูมิธรรม-ทวี" แทรกแซงสอบคดีฮั้ว สว.
 
พร้อมกันนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดประชุมปรึกษาคดีที่ ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นร้อมนตรีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

สมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) โดยกล่าวอ้างว่า การที่ผู้ถูกร้องทั้งสอง มีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภาอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

ผลการพิจารณา

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง ยื่นต่อศาลรัฐธธธรรมนูญภายในระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธธรรมนูญต่อไป
 

TAGS: #ศาลรัฐธรรมนูญ #พรรคประชาชน #พรรคภูมิใจไทย #MOA #อนุทิน #นายกรัฐมนตรี #ล้มล้างการปกครอง