อดีตรัฐมนตรี อว. เปิดวิสัยทัศน์การเมืองยุคใหม่ เน้น "การฟังด้วยหัวใจ" มากกว่า "การพูดเพื่อเอาชนะ" เชื่อถึงเวลาที่ไทยต้องเปลี่ยนการเมืองแบบตัวแทน เป็นการเมืองแห่งการร่วมสร้าง
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า เมื่อวานนี้(22ต.ค.) ผมได้รับจดหมายเชิญจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ร่วมกับคุณบรรยง พงษ์พานิช และคุณจรีพร จารุกรสกุล ในวันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่จะถึงนี้
ผมมองว่างานเสวนาครั้งนี้เป็นหนึ่งใน “นวัตกรรมทางการเมือง” (Political Innovation) ที่มีความสำคัญ เพราะมิได้มุ่งเพียงการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านนโยบายเท่านั้น แต่ยังมุ่งสร้าง “ความเข้าใจร่วม” เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองในอนาคต
กิจกรรมเช่นนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การพลิกโฉมการเมืองไทย” ทั้งในเชิงกระบวนทัศน์ ระบบคุณค่า และระบบคิด — ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องดำเนินควบคู่กับการปรับโครงสร้างภูมิทัศน์ทางการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ “รัฐที่มีหลัก” (Principled State) ผ่าน “การเมืองที่มีหลัก” (Principled Politics) ได้อย่างแท้จริง
จากการเมืองแห่งอำนาจ สู่การเมืองแห่งการฟังและร่วมสร้าง
การเมืองไทยในวันนี้กำลังติดอยู่ใน “กับดักความไม่ไว้วางใจ” ประชาชนไม่เชื่อรัฐ พรรคไม่เชื่อประชาชน และฝ่ายต่าง ๆ ไม่เชื่อใจกันเอง
กว่า 90 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราได้เห็นวงจรซ้ำซากของการเมืองไทยที่เปลี่ยนรัฐบาลได้ แต่เปลี่ยน “วัฒนธรรมทางการเมือง” ไม่ได้ — ระบบที่ยังขับเคลื่อนด้วย การแย่งชิง มากกว่าการร่วมสร้าง,
การพูดเพื่อเอาชนะ มากกว่าการฟังเพื่อเข้าใจ และการเมืองแบบตัวแทน ที่ฟังประชาชนเฉพาะตอนเลือกตั้ง แล้วหายไปเมื่อได้อำนาจ
ผลลัพธ์คือ “ประชาธิปไตยที่ขาดหัวใจ” — ประชาชนรู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทั้งที่หัวใจของประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ “สิทธิเลือกตั้ง” แต่คือ “การมีส่วนร่วมที่ต่อเนื่อง” และ “การเรียนรู้ร่วมกันของทั้งชาติ”
โลกเปลี่ยน แต่การเมืองไทยยังไม่ยอมเปลี่ยน
ในยุคของ เครือข่ายสังคม และ เทคโนโลยีเชื่อมโยง เสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงที่รอวันเลือกตั้งอีกต่อไป — มันเป็นเสียงที่ต้องการ มีส่วนร่วมจริง ในการออกแบบนโยบาย และ ร่วมเป็นเจ้าของอนาคตของประเทศ
แต่การเมืองไทยกลับยังอยู่ในโลกของ Top-Down Politics — ที่ผู้มีอำนาจ “ฟังเพื่อตอบ” มากกว่า “ฟังเพื่อเข้าใจ” พรรคการเมืองจำนวนมากยังมองประชาชนเป็น “ฐานเสียง” ไม่ใช่ “หุ้นส่วนแห่งอนาคต” และรัฐก็ยังทำหน้าที่ “ควบคุม” มากกว่า “เรียนรู้”
หากเราไม่เปลี่ยน “วิธีคิดทางการเมือง” และ “วิธีเชื่อมโยงกับประชาชน” เราจะไม่มีวันหลุดพ้นจากวังวนของ การเมืองแห่งความแตกแยกและความสิ้นหวัง
คำตอบ: การเมืองแบบใหม่ ที่เชื่อม “สามพลังเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของชาติ”
เพื่อพลิกโฉมการเมืองไทย เราต้องสร้าง “ภูมิทัศน์การเมืองใหม่” (The New Political Landscape) ที่เชื่อมโยงสามพลังเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบและเสริมกันเป็นวงจร ได้แก่
1. รัฐที่ฟังและเรียนรู้ (The Listening State)
2. พรรคในระบบเปิดและเชื่อมโยง (Extended Political Party)
3. แพลตฟอร์มร่วมสร้างของประชาชน (Open People Co-creation Platform)
สามพลังนี้จะเปลี่ยน “Politics of Representation” → “Politics of Co-creation” จาก “การแย่งอำนาจ” → “การร่วมสร้างอนาคตของชาติ”
รัฐที่ฟังและเรียนรู้
“รัฐที่ดี ต้องฟังก่อนจะสั่ง และเรียนรู้ก่อนจะทำ”
รัฐยุคใหม่ไม่ควรเป็นแค่ “เครื่องมือของอำนาจ” แต่ต้องเป็น “เวทีสร้างความเข้าใจร่วม” รัฐต้องเรียนรู้จากสังคมอย่างต่อเนื่อง — ฟังด้วยระบบ ฟังด้วยหัวใจ และฟังเพื่อสร้างอนาคตร่วม
รัฐที่ฟังและเรียนรู้ ต้องฟังให้ครบ 4 มิติ
ฟังอย่างมีระบบ: ใช้ Civic Tech และ Social Sensing เพื่อรับฟังข้อมูลจริงจากภาคสนาม
ฟังด้วยหัวใจ: รับฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อโต้แย้งหรือปกป้องตนเอง
ฟังอย่างมีเป้าหมาย: เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย
ฟังอย่างต่อเนื่อง: สร้างวงจร ฟัง–เรียนรู้–ปรับปรุง ไม่ใช่แค่ช่วงเลือกตั้ง
เป้าหมาย: เปลี่ยน “รัฐผู้สั่ง” ให้เป็น “รัฐผู้เรียนรู้ร่วมกับประชาชน” และเปลี่ยน “การเมืองเพื่อเอาชนะ” ให้เป็น “การเมืองเพื่อเข้าใจและร่วมสร้าง”
พรรคในระบบเปิดและเชื่อมโยง
จาก “พรรคของคนกลุ่มหนึ่ง” สู่ “พรรคของประชาชนทุกคน”
พรรคการเมืองไม่ควรเป็นเพียง “เครื่องมือช่วงเลือกตั้ง” แต่ต้องเป็น “สถาบันเรียนรู้ร่วมกันของสังคม” — สะท้อนความหลากหลายของประชาชน และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมขับเคลื่อน
พรรคการเมืองยุคใหม่ ต้องเปิด 4 ประตูสำคัญ:
เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยไม่ต้องเป็นสมาชิก (Open Affiliation)
เปิดกระบวนการตัดสินใจให้โปร่งใสและสะท้อนเสียงสาธารณะ (Open Deliberation)
เปิดนโยบายให้ร่วมออกแบบผ่าน Open Policy Lab
เปิดแนวร่วมกับภาคส่วนอื่นเพื่อผลประโยชน์ร่วมของประเทศ (Extended Alliances)
เป้าหมาย: ให้พรรคกลายเป็น “เวทีของปัญญามหาชน” ไม่ใช่ “เวทีของอำนาจทางการเมือง”
แพลตฟอร์มร่วมสร้างของประชาชน
“นโยบายที่ดี ต้องเกิดจากการร่วมสร้าง ไม่ใช่การชี้นำ”
ถึงเวลาที่ประชาชนทุกคนต้องได้เป็น “หุ้นส่วนในการออกแบบอนาคตประเทศ” ผ่านแพลตฟอร์มเปิดที่ใช้เทคโนโลยีและ Collective Intelligence เป็นพลังร่วมสร้าง
กลไกของแพลตฟอร์มร่วมสร้าง:
เปิดให้เสนอแนวคิดนโยบาย (Open Ideation)
สังเคราะห์เสียงประชาชนด้วย AI และ Civic Tech
ทดลองนโยบายต้นแบบร่วมกัน (Policy Sandbox)
เปิดข้อมูลโปร่งใสให้ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงได้ (Open Governance)
เป้าหมาย: เปลี่ยน “ประชาชนผู้รับผลการเมือง” ให้เป็น “ประชาชนผู้ร่วมออกแบบอนาคต”
การเชื่อมโยงของสามพลัง
สามพลังนี้ไม่ใช่แค่ “แนวคิดแยกส่วน” แต่คือ “ระบบนิเวศทางการเมืองใหม่” ที่ทำงานเสริมกันเป็นวงจร
รัฐที่ฟังและเรียนรู้
รับฟัง–เข้าใจ–ออกแบบระบบตอบสนอง ผ่านข้อมูลและปัญญาสาธารณะ
พรรคในระบบเปิดและเชื่อมโยง
เป็นสะพานระหว่างรัฐกับประชาชน แปลงเสียงและพลังร่วมสร้างให้เป็นนโยบาย
แพลตฟอร์มร่วมสร้างของประชาชน
เป็นแหล่งพลังของ Collective Wisdom และ Common Good
วงจรนี้จะสร้างการเมืองแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย “การฟัง–เข้าใจ–ร่วมสร้าง–ปรับปรุง” อย่างต่อเนื่อง คือ การเมืองเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของชาติ (Politics for Collective Learning)
ตัวอย่างแรงบันดาลใจจากประชาคมโลก
ไต้หวัน (vTaiwan) – ใช้ Civic Tech อย่าง Pol.is ฟังเสียงประชาชนอย่างมีระบบ
เอสโตเนีย (e-Governance) – เปิดให้ประชาชนร่วมออกแบบและโหวตนโยบาย
ไอซ์แลนด์ – ประชาชนร่วมร่างรัฐธรรมนูญผ่านการมีส่วนร่วมโดยตรง
ฟินแลนด์ (Open Ministry) – เปิดให้ประชาชนเสนอร่างกฎหมายได้เอง
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า “ประชาธิปไตยยุคใหม่ คือการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่แค่การโหวต”
พลิกโฉมการเมืองไทย สู่ “การเมืองแห่งการฟัง เพื่อสร้างชาติร่วมกัน”
ประเทศไทยต้องการ “การเมืองแบบใหม่” ที่ไม่แข่งกันด้วยวาทศิลป์ แต่แข่งกันด้วยความเข้าใจ ไม่ยึดติดกับอำนาจ แต่ยึดมั่นในความหมายของการอยู่ร่วมกัน
จาก “รัฐผู้สั่ง” → “รัฐผู้ฟัง”
จาก “พรรคเพื่ออำนาจ” → “พรรคเพื่อปัญญามหาชน”
จาก “เสียงส่วนใหญ่” → “ความเข้าใจร่วม”
จาก “Politics of Representation” → “Politics of Co-creation”
นี่คือก้าวสำคัญในการก้าวพ้นการเมืองแบบเก่า ไปสู่ “ภูมิทัศน์การเมืองใหม่” เพื่อพลิกฟื้นประเทศไทยร่วมกัน
ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ว่า “The Listening State: การเมืองแห่งการฟัง เพื่อสร้างชาติร่วมกัน”
นักการเมืองที่ดีในยุคนี้ ต้องเป็น “ผู้ฟังที่ดี”
เพราะเสียงของประชาชนในยุคเครือข่าย ไม่ต้องการเพียง “คำปราศรัยที่สวยงาม” แต่ต้องการ “ความเข้าใจร่วม” (Common Understanding) ที่นำไปสู่การ ออกแบบอนาคตด้วยกันได้จริง
เขาฟังไม่ใช่เพื่อจะตอบ — แต่เพื่อจะเข้าใจ
เขาฟังไม่ใช่เพื่อหาเสียง — แต่เพื่อเห็น “รากของปัญหา”
เขาฟังไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ — แต่เพื่อ “สร้างชาติ”
หัวใจของภาวะผู้นำการเมืองยุคใหม่ คือการเชื่อมโยง Policy × People × Politics ให้ทุกภาคส่วนสามารถร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมวัดผล ได้จริง เพราะ “นโยบายที่ดี” ไม่ได้เกิดจากมันสมองของคนๆเดียว แต่เกิดจาก “ปัญญามหาชนของทั้งสังคม”
นักการเมืองที่ดี จึงต้องมองแบบ Outside-In เริ่มจาก “ความเป็นจริงของประชาชน” แล้วค่อยออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง ไม่ใช่มองแบบ Inside-Out ที่เริ่มจาก “มุมมองของพรรค” หรือ “คะแนนนิยมของตนเอง”
และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องมี “วิสัยทัศน์ที่ไกล” และ “ใจที่ใหญ่” ไม่ตกอยู่ในกับดักของการเมืองแบบ Short-term Gain, Long-term Loss แต่กล้าที่จะเลือก Short-term Loss, Long-term Gain แม้ต้องเสียคะแนนในวันนี้ เพื่อรักษาอนาคตของชาติในวันหน้า
นักการเมืองแห่งอนาคต คือผู้ที่ “ฟังให้ลึก เห็นให้ไกล คิดให้ใหญ่ และไปให้ถึง”
ไม่ใช่เพื่อชัยชนะของพรรค แต่เพื่อ “ชัยชนะของประชาชน”