ย้อนรอยความสำเร็จของบุปผาราตรี จากฝีมือของผู้กำกับ "ต้อม ยุทธเลิศ”

ย้อนรอยความสำเร็จของบุปผาราตรี  จากฝีมือของผู้กำกับ
ย้อนปมความเฮี้ยน “บุปผาราตรี” ผลงานชิ้นเอกของ “ต้อม ยุทธเลิศ” ที่ยังถูกพูดถึง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับจนถึงวันนี้

“บุปผาราตรี” กลายเป็นชื่อที่ได้ยินเมื่อไรก็จะรับรู้สึกถึงความน่ากลัวไปโดยปริยาย เพราะความรู้สึกนี้เป็นภาพจำจากภาพยนตร์ไทยสยองขวัญที่ยังตราตรึงความน่าสะพรึงกลัวอยู่ในใจใครหลายคน จากผลงานการกำกับชิ้นโบว์แดงของ “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค” เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกในปี 2546 และก็ได้สร้างความกลัวให้กับแฟนๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงภาคที่ 4 ไล่เรียงไปตั้งแต่ “บุปผาราตรี” ฉายในปี 2546 แสดงนำโดย พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์, ชมพูนุช ปิยะภาณี และกองทัพนักแสดงคนอื่นๆ ที่ร่วมกันถ่ายทอดความน่ากลัว 

เริ่มจากเรื่องราวของนักศึกษาสาวที่ชื่อ “บุปผา” ถูกแฟนหนุ่มพาไปทำแท้งจนเธอเสียชีวิตในห้องพัก ที่ ออสการ์อพาร์ทเมนท์ และด้วยความอาฆาต บุปผาได้ออกอาละวาด หลอกผู้คนในอพาร์ทเมนต์ จนเจ้าของอพาร์ทเมนต์ต้องเรียกหมอผีจากหลายสำนักมาปราบ แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายตัวต้นเหตุ อย่าง “เอก” แฟนหนุ่มของบุปฝาที่ได้พาเธอไปทำแท้ง ก่อนจะหนีไปต่างประเทศก็ได้กลับมาหาบุปผา และถูกเธอล้างแค้นอย่างสาสม 

ความรักและความแค้นของบุปผา ต่อเนื่องไปจนถึง บุปผาราตรี เฟส 2 ที่ฉายในปี 2548 และยังมีนักแสดงนำที่ปรากฏให้เห็นในจอ ทั้ง พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และ กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์ โดยหลังจากที่ภาคแรกบุปผาได้สร้างความเฮี้ยนไว้ในห้องพักของเธอ จนทำให้เจ้าของอพาร์ทเมนท์ต้องสั่งปิดตายไว้ แต่ประตุูความวุ่นวายก็ได้ถูกไขออกอีกครั้ง เมื่อมีคณะตลกที่ได้ไปปล้นธนาคารและหนีมากบดาลอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งนี้ แต่จู่ๆ เงินที่ปล้นมาได้ก็หายไป 

พวกเขาจึงออกตามหา กระทั่งไปเจอห้องบุปผาที่ถูกปิดตายเอาไว้ และพยายามเข้าไป จนพบว่า เงินที่หายไปได้ถูกซ่อนอยู่ในห้องนั้น และนั่นก็เป็นการปลดปล่อยให้บุปผาออกมาอาละวาดอีกครั้ง 

ในบุปผาราตรี 3.1 ที่ฉายในปี 2552 ได้ดึงความสนใจให้กับแฟนๆ เพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการเพิ่มนักแสดงชื่อดัง อย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” และนักแสดงคนอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงตำนานดาวตลกที่มาสร้างเสียงฮาให้กับภาคนี้ อย่าง น้าค่อม ชวนชื่น, อุดม ชวนชื่น (พ่อของแจ๊ส ชวนชื่น) และ อ่าง เถิดเทิง 

เรื่องราวในภาคนี้ เกิดขึ้น เมื่อ “หรั่ง” ที่แสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นหนุ่มอาร์ทติส ที่ได้เข้ามาพักที่ออสการ์อพาร์ทเมนท์ แต่ความพิเศษคือหรั่งมีสัมผัสที่ 6 สามารถมองเห็นผีได้ จนทำให้เขาได้พบกับบุปผาจนเกิดความหลงรักเธอ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดเรื่องราวความชุลมุนขึ้นอีกครั้งในอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ 

ความสนุกและความเฮี้ยนของบุปผา ดำเนินมาจนถึง บุปผาราตรี 3.2 ซึ่งเข้าฉายในปี 2552 เช่นเดียวกัน โดยในภาคนี้ได้เกิดตัวละครใหม่อย่าง “ผีปลา” ที่ว่ากันว่า เป็นบุปผาที่กลับมาเกิดในร่างของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ “เด็กหญิงปลา” ที่เสียชีวิตอย่างโหดร้ายในห้องพักเดียวกัน และฝีปลาก็ได้สร้างความโกลาหลขึ้นอีกครั้งในออสการ์อพาร์ทเมนท์ 

รายได้ของบุปผาราตรี ทั้ง 4 ภาค ราว 165 ล้านบาท พร้อมกับกระแสที่ถูกพูดถึงกันมาจนถึงทุกวันนี้หากพูดถึง “หนังผี” ที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่ง และความสำเร็จนี้ยังได้โบยบินไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงต่างแดน โดยที่ผ่านมา หลังจากภาคแรกได้ออกฉายในปี 2546 ก็ได้ถูกเลือกให้ไปฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ในปี 2547 และ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแฟนตาเซีย   

ความสำเร็จของบุปราตรี ยังเป็นแรงบันดาลใจและการต่อยอดในการแสดง จนเกิดเป็น “บุปผาราตรี เดอะมิวสิคัล” ที่ทำการแสดงที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ เมื่อปี 2561 อีกด้วย และอีกไม่นานแฟนๆ น่าจะได้ชมภาพยนตร์ภาคต่อของบุปผาราตรี ใน Buppha in New York หรือ บุปผาราตรี 5 ที่ผู้กำกับ “ต้อม ยุทธเลิศ” ออกมาเปิดเผยว่า กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาบทอยู่ 

นับเป็นภาพยนตร์สยองขวัญระดับตำนานของไทย ที่ถ่ายทอดความน่ากลัวและเรื่องราวของผีแบบคลาสสิก แต่ยังตราตรึงใจคนดูมาจนถึงทุกวันนี้

TAGS: #Movie #บุปผาราตรี #BupphainNewYork #ต้อมยุทธเลิศ #พิงลำพระเพลิง #BeOnCloud