50 ปีแห่งตำนาน Bvlgari เปิดตัวนาฬิกาลิมิเต็ด 4 รุ่นใหม่ หน้าปัดหินอ่อนธรรมชาติ ผสานงานหัตถศิลป์ Roman Jeweler อย่างลงตัว
ในโลกของนาฬิกาหรู มีไม่กี่คอลเลคชั่นที่สามารถนิยามคำว่า “ไอคอน” ได้อย่างแท้จริง และหนึ่งในนั้นคือ Bvlgari Bvlgari ซึ่งปีนี้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 50 อย่างสง่างาม พร้อมการตีความใหม่ผ่านหน้าปัดหินอ่อนธรรมชาติที่สะท้อนทั้งพลังของกรุงโรมและความประณีตของช่างอัญมณี
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1884 เมื่อ Sotirio Bulgari ช่างทองชาวกรีกเปิดร้านเล็ก ๆ ที่กรุงโรม ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อัญมณีชั้นสูงที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์ Roman Jeweler การผสมผสานศิลปะโบราณกับความร่วมสมัยทำให้ Bvlgari แตกต่างและได้รับการยกย่องในฐานะแบรนด์ที่มี DNA ชัดเจน แม้จะเริ่มจากโลกของเครื่องประดับ แต่ในทศวรรษ 1920s Bvlgari ก็เริ่มสร้างสรรค์เรือนเวลา และค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์จนก้าวเข้าสู่โลกนาฬิกาเต็มตัว
ก้าวสำคัญเกิดขึ้นในปี 1975 เมื่อ Gianni Bulgari เปิดตัวนาฬิกาที่มีการแกะสลักชื่อ “BVLGARI” บนขอบตัวเรือน แรงบันดาลใจจากเหรียญโรมันโบราณ ดีไซน์ที่กล้าหาญนี้ได้พลิกโฉมโลกนาฬิกาหรู เพราะมันไม่ใช่เพียงเครื่องบอกเวลา แต่คือการผสมผสานระหว่างแฟชั่นและอัญมณีอย่างแท้จริง เพียงสองปีต่อมา Gérald Genta นักออกแบบนาฬิการะดับตำนานเข้ามาตีความใหม่ และวางรากฐานให้เกิดคอลเลคชั่น Bvlgari Bvlgari อย่างเป็นทางการ กลายเป็นผลงานที่นิยามความเป็น “Roman Jeweler” ได้อย่างชัดเจน และดึงดูดทั้งสังคมชั้นสูงและคนดัง ตั้งแต่ Sting, George Michael, Tina Turner ไปจนถึง Zendaya และ Bill Gates
เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบครึ่งศตวรรษ Bvlgari จึงได้เปิดตัว 4 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่ผลิตเพียง 150 เรือนต่อรุ่น โดยถ่ายทอดความงามผ่าน หน้าปัดหินอ่อนธรรมชาติ ซึ่งถูกนำมาตีความเป็นครั้งแรกในคอลเลคชั่นนี้ หินอ่อนแต่ละชนิดอย่าง Verde Alpi สีเขียวเข้ม, Azzurro Infinito สีฟ้าอ่อน และ Blu Incanto สีน้ำเงินเข้ม ล้วนสะท้อนเสน่ห์ของกรุงโรมและสร้างความแตกต่างให้แต่ละเรือนเป็น one-of-a-kind ที่ไม่มีใครเหมือน
ในขนาด 26 มม. มีทั้งรุ่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หน้าปัด Verde Alpi ประดับเพชร 12 เม็ด และรุ่นโรสโกลด์หน้าปัด Azzurro Infinito ที่มาพร้อมสายหนังจระเข้สีโทนเดียวกัน ส่วนในขนาด 38 มม. คือรุ่นกลไกอัตโนมัติ Solotempo BVL 191 สำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง เลือกได้ทั้งตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หน้าปัด Verde Alpi อินเด็กซ์ทอง กันน้ำ 50 เมตร หรือรุ่นโรสโกลด์หน้าปัด Blu Incanto สีน้ำเงินเข้มที่สง่างามไม่แพ้กัน ทุกเรือนมีฝาหลังสลักข้อความ “50th Anniversary” เพื่อบันทึกหมุดหมายทางประวัติศาสตร์
104111
กลไก:
กลไกควอตซ์
ตัวเรือน สาย และหน้าปัด:
ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ ขนาด 26 มม. ขอบตัวเรือนแกะสลักพิเศษด้วยข้อความ “BVLGARI ROMA” ฝาหลังออกแบบขึ้นเฉพาะด้วยงานแกะสลัก “50th anniversary” การกันน้ำ: 30 เมตร หน้าปัดหินอ่อนสีเขียว “เวิร์ด อัลปิ” พร้อมด้วยเครื่องหมายอินเด็กซ์บอกเวลาประดับเพชร 12 เม็ด (0.12 กะรัต) สายหนังจระเข้สีเขียวเข้ม และหัวเข็มขัดสายแบบหมุดเยลโลว์โกลด์
104112
กลไก:
กลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติผลิตในโรงงาน โซโลเทมโป บีวีแอล 191 (Solotempo BVL 191)
ตัวเรือน สาย และหน้าปัด:
ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ ขนาด 38 มม. ขอบตัวเรือนแกะสลักพิเศษด้วยข้อความ “BVLGARI ROMA” ฝาหลังออกแบบขึ้นเฉพาะด้วยงานแกะสลัก “50th anniversary”
การกันน้ำ: 50 เมตร
หน้าปัดหินอ่อนสีเขียว “เวิร์ด อัลปิ” พร้อมด้วยเครื่องหมายอินเด็กซ์ทอง
สายหนังจระเข้สีเขียวเข้ม และหัวเข็มขัดสายแบบหมุดเยลโลว์โกลด์
สำรองพลังงาน: 42 ชั่วโมง
104191
กลไก:
กลไกควอตซ์
ตัวเรือน สาย และหน้าปัด:
ตัวเรือนโรสโกลด์ ขนาด 26 มม. ขอบตัวเรือนแกะสลักด้วยโลโก้คู่
การกันน้ำ: 30 เมตร
หน้าปัดหินอ่อนสีฟ้าไอซีบลู “อัซเซอร์โร อินฟินิโต” พร้อมด้วยเครื่องหมายอินเด็กซ์บอกเวลาประดับเพชร 12 เม็ด (0.12 กะรัต)
สายหนังจระเข้สีฟ้าอ่อน และหัวเข็มขัดสายแบบหมุดโรสโกลด์
สำรองพลังงาน: 42 ชั่วโมง
104113
กลไก:
กลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติผลิตในโรงงาน โซโลเทมโป บีวีแอล 191 (Solotempo BVL 191)
ตัวเรือน สาย และหน้าปัด:
ตัวเรือนโรสโกลด์ ขนาด 38 มม. ขอบตัวเรือนแกะสลักโลโก้คู่
การกันน้ำ: 30 เมตร หน้าปัดหินอ่อนสีน้ำเงินไนท์บลู “บลู อินแคนโต” พร้อมด้วยเครื่องหมายอินเด็กซ์ทอง
สายหนังจระเข้สีน้ำเงินเข้ม และหัวเข็มขัดสายแบบหมุดโรสโกลด์
การเลือกใช้หินอ่อนไม่ได้เป็นเพียงลูกเล่นทางดีไซน์ แต่สะท้อนความกล้าหาญของเมซงที่นำวัสดุจากโลกสถาปัตยกรรมมาใส่ในงานประดิษฐ์นาฬิกา เช่นเดียวกับที่ Bvlgari เคยทำในโลกอัญมณีมาก่อน และด้วยลวดลายจากธรรมชาติที่ไม่ซ้ำกัน หน้าปัดแต่ละเรือนจึงเป็นเหมือนงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Bvlgari Bvlgari 50th Anniversary Editions ไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสำเร็จในอดีต แต่คือการตอกย้ำว่าดีเอ็นเอของแบรนด์สามารถถูกตีความใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เคยสูญเสียจิตวิญญาณดั้งเดิม จากการท้าทายขนบในปี 1975 สู่การตีความใหม่ด้วยหน้าปัดหินอ่อนในปี 2025 นาฬิกาเรือนนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความเหนือกาลเวลาที่แท้จริง