พรีบิลท์ฯ หลังพัฒนาโครงการอสังหาฯมา4 ปีมองเห็นกำไรธุรกิจโตแซงบียูก่อสร้าง

พรีบิลท์ฯ หลังพัฒนาโครงการอสังหาฯมา4 ปีมองเห็นกำไรธุรกิจโตแซงบียูก่อสร้าง
พรีบิลท์ฯ จัดโครงสร้างธุรกิจหวังสัดส่วนกำไรผ่านโครงการพัฒนาอสังหาฯ ได้ใน3 ปี แผนปี66 เปิด 6โครงการคลุม กทมฯ-ปริมณฑล พร้อมปัดผุ่นคอนโด 2 แบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท

หลังจาก บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB เข้ามาดำเนินธุรกิจหลักด้านรับเหมาก่อสร้างทุกประเภท มาตั้งแต่ปี 2538 ก่อนหันมาขยายธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังเมื่อปี 2562 หรือราว 4 ปีก่อน  

 

และจากความสำเร็จด้านยอดขายโครงการฯ ที่ทยอยเปิดตัวและทำขาย ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวในช่วงโควิด19 ปัจจัยหลักทำให้ ‘พรีบิลท์’ มองเห็นโอกาสสร้างกำไรจากหน่วยธุรกิจ (บียู) พัฒนาโครงการฯ ให้มีรายได้เท่ากับธุรกิจเดิมที่อยู่ในตลาดมานานเกือบ 30 ปี

 

วิโรจน์ เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) หรือ PREB กล่าวว่า พรีบิลท์ เริ่มหันมาดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 6 ปีก่อน และเริ่มทำตลาดจริงจังเมื่อ4 ปีที่ผ่านมา 

 

ด้วยมองเห็นโอกาสในตลาดโครงการฯ เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่ต้องการความครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงการซ่อมแซมโครงการฯ ที่อยู่อาศัย โดยใช้จุดเด่นความเชี่ยวชาญบริษัทในการก่อสร้างโครงการทุกรูปแบบ และการควบคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้าง

 

“ในปี 2563 ที่ผ่านมา พรีบิลท์ทยอยเปิดขายโครงการฯ ที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งปิดการขายพร้อมยอดโอนได้ทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2565 มาจากความต้องการของผู้ซื้อบ้านเดี่ยว ที่ต้องการฟังก์ชันและพื้นที่อยู่อาศัยในช่วงเวิร์ก ฟอร์ม โฮม จากสถานการณ์โควิด” วิโรจน์ กล่าว

 

ส่วนแผนในปี 2566 นี้ บริษัทมีโครงการ ที่สร้างแล้วเสร็จและปิดการขาย และอยู่ระหว่างการพัฒนารวม 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายของบริษัทสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท

 

สำหรับโครงการที่ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โครงการบ้านเดี่ยว ‘พรรณนา พุทธมณฑล สาย 3’ เป็นโครงการฯที่บริษัทลงทุนเองเป็นโครงการแรก และอีก 5 โครงการ รวม 594 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการ 3,550 ล้านบาท

 

แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 3 โครงการ จำนวน 466 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2,050 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ จำนวน 128 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

 

และที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ คือ ‘พิมนารา ศรีนครินทร์-บางนา’ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม 2565 ได้การตอบรับสูงจากลูกค้า ด้วยแนวคิดโครงการสไตล์ญี่ปุ่น และได้เปิดอีก 2 โครงการเมื่อช่วงปลายปี 2565

 

ประกอบด้วยโครงการพิมนารา ธรรมศาสตร์ รังสิต บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 117 ยูนิต มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท และโครงการพรีวิลเลจ ธรรมศาสตร์ รังสิต ทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาด 250 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยทำเลทั้ง 2 โครงการอยู่ห่างจากทางด่วนเชียงราก เพียง 300 เมตร

 

นอกจากนี้ยังวางเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ทั้ง2 แบรนด์ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 รวมมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว ‘พิมนารา ศาลายา’โครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 77 ยูนิต ราคา 5.5 -7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 3

 

โครงการ “พรรณนา ทวีวัฒนา”  บ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวาขึ้นไป จำนวนยูนิต เพียง 51 ยูนิต ราคา 15 -19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 4 ที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ธนบุรี ใกล้จุดเชื่อมต่อ ถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4

 

พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมงบลงทุนกว่า1,000 ล้านบาทต่อปี สำหรับซื้อที่ดินเพื่อรอพัฒนาโครงการฯใหม่อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อขยายให้ครบทุกเซ็กเมนต์ทั้ง ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และโฮมออฟฟิศ

 

รวมถึงคอนโดมีเนียม ที่เตรียมนำกลับมาพัฒนาโครงการฯ อีกครั้ง มีทำเลย่านสุขุมวิท24 ภายใต้แบรนด์ ARAMIS จำนวน33 ชั้น ขนาดพื้นยูนิต 30 ตร.ว. และแบรนด์ Amie ทำเลสุขุวิท 26 รูปแบบไลว์ ไรซ์ จำนวน 100 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 30 ตร.ว.  คาดพัฒนาโครงการพร้อมเปิดขายใน 2ปี

 

ทั้งนี้ บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 2-3 โครงการต่อปี เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 3,000 ล้านบาทภายใน 2-3 ปีนับจากนี้ และมีกำไรสุทธิ (Net Profit) เท่ากับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จากปัจจุบันมีกำไรธุรกิจอยู่13-15% ส่วนธุรกิจรับเหมาราว 5%

 

จากแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทคาดยอดขายราว 1,300 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ 11,00 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมรายได้ธุรกิจในรนอบ9 เดือนปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 4,400 ล้านบาท