ธนาคารพาณิชย์โชว์ผลกำไรครึ่งปีทะลุ 1 แสนล้านบาท หนี้เสียลดลงต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
น.ส. สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่อง
อยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2566 หดตัวเล็กน้อย 0.4% จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการทยอยชำระคืนหนี้ของภาคธุรกิจหลังเร่งขยายตัวต่อเนื่องเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงโควิด โดยเฉพาะการชำระคืนสินเชื่อ SMEs (รวม soft loan) และภาครัฐ ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ ประกอบกับมีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ของธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังขยายตัวได้จากธุรกิจขนาดใหญ่กลุ่ม holding รวมถึงสินเชื่อรายย่อยพอร์ตที่อยู่อาศัยและพอร์ตส่วนบุคคลเป็นสำคัญ ด้านคุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อยในสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 2 ปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.67% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 6.08% ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ 6.00%
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนทางการเงินปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินรับฝากและ FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติ รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น จากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเป็นสำคัญ โดยมีผลกำไรในรอบครึ่งปี 2566 กว่า 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 1 ปี 2566 ลดลงเล็กน้อยตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไรปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากภาคการผลิต โดยต้องติดตามความเสี่ยงจาก
ภาคการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก ภาคการท่องเที่ยวที่ต้องมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และ
ภาคก่อสร้างที่ต้องติดตามนโยบายของภาครัฐ
ทั้งนี้ สถาบันการเงินยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง แม้มาตรการแก้หนี้ระยะยาวในช่วงโควิดจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2566 ลูกหนี้ที่มีปัญหายังสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนที่สิ้นสุดเป็นเรื่อง
การผ่อนปรนหลักเกณฑ์กำกับดูแลเพื่อลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเท่านั้น นอกจากนี้ ธปท. จะเร่งออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำอย่างครบวงจรและถูกหลักการ ไม่เพิ่มภาระลูกหนี้ในระยะยาว โดยมาตรการที่จะบังคับใช้ในปี 2567 คือ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) ที่รวมถึงการดูแลหนี้เรื้อรัง (persistent debt) ตลอดจนมาตรการอื่น ๆ ที่ ธปท.
จะดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (risk-based pricing: RBP) และการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (debt service ratio: DSR) ซึ่งทั้ง 3 มาตรการจะช่วยเสริมกันในการปรับพฤติกรรมของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยให้ลดลงสู่ระดับที่ยั่งยืน
ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน