ชูยุทธศาสตร์ปี’69 ดึงลงทุนมุ่งสู่ “Green & Digital”

ชูยุทธศาสตร์ปี’69 ดึงลงทุนมุ่งสู่ “Green & Digital”
กนอ.ตั้งเป้ายอดขายที่ดินนิคมฯ 1.2 หมื่นไร่ พลิกบทบาทสู่“นักลงทุนเชิงกลยุทธ์” ลุยโครงการ Low Carbon City  เปิดรับนักลงทุน พร้อมจัดโปรฯปีใหม่ ฟรีค่าเช่าที่ดิน 2 ปี ใน 3 นิคมฯ

นายสุเมธ  ตั้งประเสริฐ  ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปี 2569 กนอ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์มุ่งสู่การเป็น“Green & Digital Innovation”  พร้อมปรับทิศทางการดำเนินงานจากผู้พัฒนาที่ดินสู่การเป็น“ผู้สร้างสรรค์ระบบนิเวศอุตสาหกรรมและนักลงทุนเชิงกลยุทธ์” (Strategic Investor)

ทั้งนี้มุ่งเน้น 2 แกนหลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ซึ่งในปี 2568 มีแผนขยายผลการตรวจรับรอง Carbon Neutrality ให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.บริหารจัดการเองทั้ง 13 แห่ง ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco I.E.) ไปสู่ SDG I.E. ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

ขณะเดียวกันได้วางกรอบการดำเนินงานภายใต้โมเดล RAPID เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

​R - Regulatory Flexibility ลดขั้นตอนและเพิ่มความรวดเร็วในการอนุมัติอนุญาต โดยนำเทคโนโลยี AI และ OCR มาใช้ในระบบ e-PP ผลักดันการลดระยะเวลาการตั้งนิคมฯ จาก 2 ปี เหลือเพียง 2 เดือน รวมถึงการปลดล็อกพื้นที่ผังเมืองในเขต EEC และปรับปรุงระเบียบการจัดการที่ดินสาธารณะให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

​A - Advanced Infrastructure ยกระดับนิคมฯสู่ความเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Town) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผลักดันโมเดล “Map Ta Phut Close Loop” บริหารจัดการของเสียภายในพื้นที่รองรับขยะอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น แบตเตอรี่ EV และแผงโซลาร์เซลล์

​P - People & Potential จัดตั้ง IEAT Academy เพื่อเป็นตัวกลางจับคู่ (Matching) ระหว่างความต้องการแรงงาน (Job Demand) และผู้ผลิตบุคลากร (Job Supply) ป้อนสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย

​I - Integrated Digital Transformation ตั้งเป้าหมายยกเลิกการใช้เงินสด (Cashless) ภายใน 3 ปี และปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเป็นดิจิทัล 100% ภายใน 2 ปี

​D - Driving Growth Sustainability  มุ่งเน้นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SME ไทยเข้ากับบริษัทข้ามชาติ (MNC) ผ่านโครงการ “SME to MNC”

นอกจากนี้ยังเตรียมร่วมมือกับธนาคารโลก (World Bank) และกระทรวงการคลัง ดำเนินโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และแหลมฉบัง ด้วยงบลงทุนกว่า 3,400 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์ลอยน้ำและโซลาร์รูฟท็อป รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 91,250 ตันต่อปี และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กร พลิกโฉมสู่องค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) โดยการพัฒนาระบบการเงินแบบ Cashless เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Mobile Banking หรือ QR Payment เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ เพิ่มความโปร่งใส และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลระดับสากล โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2569

อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา กนอ.ประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายและเช่าพื้นที่เติบโตน่าพอใจสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (13.48%), ผลิตภัณฑ์โลหะ (10.45%), เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (9.68%), เคมีภัณฑ์ (7.82%) และผลิตภัณฑ์พลาสติก (6.55%) โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่น (23.41%) ยังคงครองแชมป์การลงทุนสูงสุด ตามมาด้วย จีน (16.76%) สิงคโปร์ (9.93%) และสหรัฐอเมริกา (5.79%) ส่งผลให้ปัจจุบัน กนอ. มีเม็ดเงินลงทุนสะสมรวมกว่า 15.32 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานในระบบกว่า 1 ล้านคน

นายสุเมธ  กล่าวถึง  ภาพรวมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมว่า ในปี 2568 มียอดขายที่ดิน กว่า 8,000 ไร่ จากเป้าเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 12,000 ไร่ ขณะที่ในปี 2569  ตั้งเป้ายอดขายที่ดินอยู่ที่ 12,000 ไร่  คาดหวังจะมีปัจจัยบวกความเชื่อมั่นหากมีรัฐบาลใหม่ที่สามารถบริหารประเทศระยะเวลานาน

 สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) งานถมทะเลและระบบสาธารณูปโภค มีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 93.68 ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดย กนอ. กำลังเร่งดำเนินการในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในระยะที่ 2 เพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือสินค้าเหลวและคลังสินค้า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เช่นเดียวกับ นิคมอุตสาหกรรม Smart Park ที่มีความคืบหน้าการก่อสร้างร้อยละ 93.68 พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2568 เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (New S-Curve) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ กนอ.ยังเตรียมผนึกกำลังพันธมิตร หนุน SMEs เข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก ผ่านแนวทาง “Quick Big Win” โดยล่าสุดได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก อาทิ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ Supply Chain ไทย และผลักดันให้เกิดการใช้ Local Content ภายในประเทศมากขึ้น รวมถึงการเตรียมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อ SMEs โดยเฉพาะ เพื่อเป็นพื้นที่ให้บริการและสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยอย่างครบวงจร

ขณะเดียวกัน เตรียมมอบของขวัญปีใหม่ ด้วยการจัดโปรโมชั่น “ฟรี 2 ต่อ” ใน 3 นิคมอุตสาหกรรม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับนักลงทุน โดยมาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินใน 3 นิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร, นิคมอุตสาหกรรมสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว โดยมอบสิทธิประโยชน์ “ฟรี 2 ต่อ” คือ ต่อที่ 1 ฟรีค่าเช่าที่ดิน 2 ปีแรก และ ต่อที่ 2 ฟรีค่าบริการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก 2 ปี สำหรับผู้ที่ทำสัญญาเช่าตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2569 เพื่อลดต้นทุนและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มธุรกิจได้อย่างมั่นคง

“ ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา คือเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทย และความเชื่อมั่นที่นักลงทุนทั่วโลกมีให้กับเรา แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ก้าวต่อไปในปี 2569 กนอ.จะไม่ใช่แค่การเป็นผู้จัดหาพื้นที่ แต่เราจะยกระดับสู่การเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน เราพร้อมเปลี่ยนผ่านนิคมอุตสาหกรรมไทยสู่ยุค Carbon Neutrality และสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่ครบวงจร เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมเติบโตเคียงคู่กับนักลงทุนในเวทีโลกอย่างยั่งยืน”

 

 

TAGS: #กนอ. #นิคมฯ #Low #Carbon #City