รองโฆษกรัฐบาลเผย ร่างกฎกระทรวงใหม่ปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี แก้ปัญหาเพดานเดิมไม่ทันเศรษฐกิจ เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน–หนุนเสถียรภาพกองทุนประกันสังคมระยะยาว
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน เนื่องจากกฎกระทรวงเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ไม่เหมาะสมกับโครงสร้างค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รองโฆษกฯ ระบุว่า เดิมเพดานค่าจ้างที่นำมาคำนวณเงินสมทบถูกกำหนดไว้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ส่งผลให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่านั้นต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราเดียวกัน และได้รับสิทธิประโยชน์ไม่สอดคล้องกับค่าจ้างจริง ขณะที่ปัจจุบันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุดอยู่ที่ 400 บาท แต่ยังคงใช้ฐานข้อมูลจากปี 2538 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและมาตรฐานองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
ร่างกฎกระทรวงใหม่จึงกำหนดให้มีการปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี โดยยังคงอัตราเงินสมทบที่ 5% เท่าเดิม เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ดังนี้
-
ปี 2569–2571: เพดานค่าจ้าง 17,500 บาทต่อเดือน
-
ปี 2572–2574: เพดานค่าจ้าง 20,000 บาทต่อเดือน
-
ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป: เพดานค่าจ้าง 23,000 บาทต่อเดือน
ตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2569–2571 ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท และจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และเงินบำเหน็จ–บำนาญชราภาพ
การปรับเพดานครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มรายรับให้กองทุนประกันสังคม ทำให้สามารถรองรับภาระจ่ายสิทธิประโยชน์ในระยะยาวได้ดีขึ้น ส่วนภาครัฐก็จะมีภาระสมทบเพิ่มตามเพดานใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อเสริมเสถียรภาพระบบประกันสังคมในอนาคต