‘เอกนิติ’ร่วมเวที FTI Outlook 2026 วางแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ มุ่งเพิ่มกำลังซื้อ ปลดล็อกอุปสรรคภาคอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนลงทุนด้วยศักยภาพสูง
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Policy Vision for Thailand’s Economic Transformation นโยบายใหม่สู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย”ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี FTI Outlook 2026 ภายใต้หัวข้อ “DECODING THAILAND’S INDUSTRY FOR THE UPCOMING FUTURE ถอดรหัสอุตสาหกรรมไทย อ่านเกมอนาคต”จัดโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ เรามีข้อจำกัดมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา ทั้งสังคมสูงวัย แรงงานขาดแคลน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และคอขวดเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนชัดเจนว่าไทยไม่สามารถพึ่งการเติบโตแบบเดิมได้อีกต่อไป เราจึงต้องลงมืออย่างเร่งด่วน ทั้งเพื่อประคองเศรษฐกิจระยะสั้น และเพื่อปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวอย่างเป็นระบบ”
ทั้งนี้รัฐบาลตัดสินใจทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้าแต่ตรงจุด เพื่อพยุงกำลังซื้อและประคองเศรษฐกิจให้เดินต่อได้ หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดคือ คนละครึ่งพลัส ซึ่งให้รัฐบาลร่วมจ่าย 50% เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายฐานราก ผลลัพธ์ในระยะสั้นนั้นชัดเจนมาก ปัจจุบัน มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 913,000 ราย เกิดการใช้จ่ายแล้วกว่า 33,898 ล้านบาท เม็ดเงินไหลเวียนลงสู่เศรษฐกิจระดับพื้นที่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ถึง 12.7% สูงกว่าเป้าหมาย 8% อย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่า รัฐได้ผลักเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่จำเป็นที่สุดอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เวลาที่จำกัด ด้วยหลักการว่า รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งตอนนี้เหลือ 2 เดือน จึงเป็นข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ หากมัวแต่คิดหาโมเดลใหม่คงไม่ทัน เลยต้อง Action เพื่อส่งสัญญาณให้เห็น
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเดินสองทางคู่กัน คือ ประคองเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อรับมือสถานการณ์ และวางรากฐานระยะยาวเพื่อเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน โดยทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนวินัยการคลังและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญต่อจากนี้คือ ‘การลงทุน’ เพราะการเติบโตระยะยาวต้องเริ่มต้นจากการปลดล็อกศักยภาพการผลิต จึงผลักดัน BOI FastPass และ PPP Fast Track เพื่อแก้คอขวดที่ทำให้นักลงทุนติดค้างกว่า 4.7 แสนล้านบาท โดยยึดเส้นทางจริงของนักลงทุนเป็นตัวตั้ง และใช้พลังของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องพึ่งการกู้เงินเพิ่มเติม นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนคุณภาพสูง ไม่ใช่งบประมาณรัฐเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนไทยไม่ถูกยกระดับทักษะให้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ รัฐบาลจึงร่วมกับภาคเอกชนปรับระบบพัฒนาทักษะเป็นแบบ Demand Driven ให้เอกชนสะท้อนความต้องการจริง แล้วรัฐจัดหลักสูตรตอบโจทย์โดยตรง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดัน TH-AI Passport เพื่อยกระดับความสามารถด้าน AI ให้คนไทยในวงกว้าง ต่อยอดสู่กำลังแรงงานคุณภาพที่พร้อมรองรับการลงทุนยุคใหม่ของโลก
สำหรับอีกด้านหนึ่ง SMEs คือฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจไทย จึงเตรียมมาตรการยกระดับตั้งแต่เงินทุน การปรับระบบสินเชื่อเชิงซัพพลายเชน ไปจนถึงการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้สามารถเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้จริง ทั้งหมดนี้คือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อให้ธุรกิจไทยทุกระดับเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจใหญ่
รวมทั้งเพื่อให้การยกระดับ SME เกิดผลจริง รัฐบาลได้ขยายมาตรการ Upskill ไปสู่ร้านค้าคนละครึ่งพลัส โดยเปิดโครงการพัฒนาทักษะให้ร้านค้ามากที่สุด 400,000 ร้านค้า เริ่มตั้งแต่วันนี้ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568 ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมแพลตฟอร์ม Food Delivery หรือการผ่านหลักสูตรออนไลน์ของธนาคารออมสินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยร้านค้าที่พัฒนาทักษะสำเร็จตามเกณฑ์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ 20% ของยอดขายในส่วนที่รัฐร่วมจ่าย สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งจะประกาศผลผ่านแอป ถุงเงิน มาตรการนี้คือการช่วยร้านค้ารายย่อยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มยอดขายจริง และพร้อมเติบโตไปกับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตามวันนี้ รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมต่างมีบทบาทสำคัญที่ต้องทำร่วมกัน รัฐบาลจะทำหน้าที่ปลดล็อกอุปสรรค รักษาเสถียรภาพ และสร้างกติกาที่เอื้อต่อการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจเป็นกำลังสำคัญในการสร้างนวัตกรรม การผลิต และการลงทุนใหม่ หากเรายืนเคียงข้างกัน ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ ไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้ ในเวลาไม่นาน ประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงฐานการผลิต แต่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของภูมิภาค ทั้งในด้านดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด ยานยนต์สมัยใหม่ และอาหารแห่งอนาคต และสามารถส่งต่อเศรษฐกิจที่แข็งแรง ยั่งยืน และแข่งขันได้ให้กับคนไทยรุ่นต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แรงกดดันจากสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยี ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า GDP โลก ปี 2568 จะขยายตัวที่ 3.2% และปี 2569 GDP โลกจะชะลอตัวลงเหลือขยายตัวเพียง 3.1% ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 3.7% สะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ที่สะท้อนผ่านเครื่องชี้อย่างดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ที่จัดทำโดย ส.อ.ท. ซึ่งจะเห็นว่าย้อนหลังไป 13 ปี ระดับความเชื่อมั่นยังไม่สามารถกลับมายืนเหนือค่ากลางที่ระดับ 100 ได้ สะท้อนถึงความกังวลของสมาชิก ส.อ.ท. กว่า 16,000 ราย ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยมีหลายปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย ทั้งจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน ปัญหาสินค้าราคาถูกทุ่มตลาด ค่าเงินบาทที่แข็งค่าและภาระต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาค ตลอดจนภาระหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ
ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประมาณการ GDP ไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.8 - 2.2% แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ทำให้ GDP ยังคงขยายตัวในกรอบที่จำกัด
ทางกกร. คาดหวังว่านโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยให้ GDP สามารถขยายตัวได้มากกว่ากรอบประมาณการในปีนี้ และช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในปี 2569
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปีนี้ ยังนับเป็นโอกาสพิเศษเนื่องในวาระครบรอบ 22 ปีของดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม” สะท้อนมุมมองและภาวะของภาคการผลิตไทยอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยริเริ่มจัดทำดัชนีฯ ตั้งแต่ปี 2546 ในวาระของนายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คนที่ 12 ดัชนีฯ จึงเปรียบเสมือนหลักไมล์สำคัญที่ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลง วางแผนกลยุทธ์ และเตรียมความพร้อมรับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ได้
การจัดงาน FTI Outlook 2026 ครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ ส.อ.ท. ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกต่อทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย พร้อมเป็นพลังสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2569 และอนาคตข้างหน้า