"พิชัย"เตือนเศรษฐกิจจะทรุดหนัก หากสหรัฐขึ้นภาษีไทย–จี้พาณิชย์เร่งแก้ราคาข้าวตกต่ำ-เจรจา FTA ให้คืบหน้า

“พิชัย” เตือน หากมีปัญหากับสหรัฐเศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก หลัง GDP Q3 โตได้แค่ 1.2% จี้ รมว. พาณิชย์ เร่งทำ 4 เรื่องหลักที่เคยเสนอไว้ การแก้ราคข้าวตกต่ำสุดในรอบ 18 ปี 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายได้เพียง 1.2% ซึ่งนับว่าต่ำมาก หลังจากที่เศรษฐกิจครึ่งปีแรกขยายได้ 3% ทั้งนี้น่าจะมาจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัจจัยความเชื่อมั่นทางการเมืองจากความผันผวนทางการเมืองในไตรมาส 3 และ แนวโน้มในไตรมาส 4 ก็ดูไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 68 เศรษฐกิจไทยน่าจะยังคงขยายตัวได้เกิน 2 % ตามที่ตนได้เคยคาดการณ์ไว้ 

เรื่องที่น่ากังวลและยังมีความสับสนคือเรื่องสหรัฐหยุดการเจรจาเรื่องการค้ากับไทย ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่ามีการหยุดตามที่สำนักงาน USTR แจ้งมาหรือไม่ เพราะในขณะที่ไทยบอกว่าจะแยกเรื่องระหว่างการเจรจาการค้าและปัญหาไทย-กัมพูชา แต่ประธานาธิบดี ทรัมป์ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบินล่าสุดว่าใช้มาตรการทาง Tariff แก้ข้อขัดแย้งไทย-กัมพูชา คงต้องให้ USTR ยืนยันกลับมา   ซึ่งหากสหรัฐขึ้นภาษี Tariff กับไทย ไทยจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก ซ้ำเติมจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่ ในทางกลับกันถ้านายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี สามารถเจรจาลดภาษี Tariff ของสหรัฐลงมาได้ ก็จะทำให้ไทยได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐถึง 1.92 ล้านล้านบาทในปี 2567  คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐมากถึง 1.23 ล้านล้านบาทในปี 67 ซึ่งเป็นการได้ดุลการค้ามากที่สุดในการค้าขายกับทุกประเทศ และในปี 68 ยอดการส่งออกและการได้ดุลการค้ากับสหรัฐจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การจะหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐน่าจะเป็นไปได้ยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลย 

ดังนั้นการเจรจาภาษีกับสหรัฐจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่ตนต้องวิ่งไปพบกับ USTR Jameison Greer ถึง 2 ครั้ง ที่เกาหลีใต้และที่ฝรั่งเศส และ รัฐบาลแพทองธารสามารถเจรจาภาษีทรัมป์ได้ในอัตรา 19% ซึ่งเป็นอัตราที่เท่าๆกับประเทศในภูมิภาคทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้และการส่งออกของไทยจึงไม่กระทบ โดยเดือนกันยายน 68 การส่งออกของไทยยังขยายได้ถึง 19%  และต้องถือเป็นผลงานที่เด่นชัด และต้องขอขอบคุณ นายกฯ อนุทิน ที่เคยกล่าวชมเชย ” 2 พิชัย“ คือ ตนและอดีต รมว. คลังที่ทำเรื่องการเจรจาดังกล่าวสำเร็จ ดังนั้นหากประเทศไทยโดนขึ้นภาษี Taiff หรือถูกกลับไปเก็บภาษีที่ 36% ตามที่โดนเรียกเก็บแต่แรก จะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก การส่งออก และ การลงทุนจะหดหาย เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก 

เพราะเหตุนี้ ตนจึงเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะยังคงต้องเจรจากับสหรัฐให้จบโดยเร็วจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการทำงานของ รมว. พาณิชย์ใน  4 เรื่องสำคัญที่ถือเป็น KPI ของ รมว. พาณิชย์ที่ได้เคยแจ้งล่วงหน้าแล้ว พบว่ายังไม่สามารถดำเนินการตามที่ประชาชนคาดหวังได้แต่อย่างไร 

โดยเฉพาะในข้อแรก

1. เรื่องดูแลราคาสินค้าเกษตร เพราะราคาข้าวเปลือกนาปีตกต่ำอย่างมากเหลือเพียง กก. ละ 5.40 บาทเท่านั้น ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 18 ปี เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ข้าวเปลือกนาปี อยู่ที่ตันละ 10,000 - 12,000 บาท และ ข้าวเปลือกนาปรังราคาตกลงมาอยู่ที่ตันละ 8,800-9,000 บาท ขณะนั้นชาวนาก็เดือดร้อนกันมากแล้ว ราคาข้าวเปลือกในปัจจุบันที่ต่ำมากจะทำให้ชาวนาดำรงชีพอยู่ไม่ได้ และได้รับความเดือดร้อนกันอย่างมาก อีกทั้ง ราคามะพร้าวเหลือเพียงลูกละ 2 บาท เท่านั้น และมันสำปะหลังและไข่ไก่ก็ยังมีราคาไม่ดีนัก จึงอยากให้ รมว. พาณิชย์ เร่งแก้ไข นอกจากนี้ เกษตรกรจำนวนมากยังประสพความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วม ที่เกิดจากบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของกระทรวงเกษตรฯ

2. การรักษาระดับการส่งออก โดยการส่งออกในเดือนกันยายนก่อนที่ รมว. พาณิชย์คนใหม่จะเข้าทำงาน และหลังจากที่เจรจาได้อัตราภาษีทรัมป์แล้ว  การส่งออกยังขยายได้ถึง 19% ทำให้  9 เดือนแรกของปี 68 การส่งออกขยายได้ถึง 13.9 % ซึ่งต้องดูว่าในเดือนตุลาคมและเดือนต่อๆมา การส่งออกจะยังคงรักษาระดับได้หรือไม่ ซึ่งการส่งออกทั้งปี 68 น่าจะต้องเกิน 10% ตามที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วตั้งแต่กลางปี ซึ่งขอตอกย้ำว่าการส่งออกจะยังเป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ 

3. การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA)  โดยอยากให้สามารถเจรจาเขตการค้าเสรีกับ EU, เกาหลีใต้, แคนนาดา, ยูเออี ที่เจรจาค้างอยู่ให้สำเร็จได้โดยเร็ว โดยเฉพาะ FTA กับ EU ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ซึ่งน่าจะเสร็จได้ภายในสิ้นปีนี้ ตามที่ได้เคยมีการตกลงกันไว้  และ FTA กับ เกาหลีใต้ ควรจะเสร็จได้ตั้งแต่กลางปี 68 แล้วจากการเจรจากันที่เกาะเซจู ประเทศเกาหลีใต้ ที่ตนได้พบกับ USTR Jamieson Greer เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้เสียก่อน โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ถูกขับออก  ก็น่าจะเสร็จไปแล้ว รวมถึง FTA กับประเทศแคนนาดา ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประเทศแคนนาดาเช่นกัน ส่วนการเจรจาปรับแก้ไข FTA กับอินเดีย ต้องระวังว่า อินเดียจะปรับลดประเภทสินค้ามากกว่าจะเพิ่มรายการสินค้า  เพราะไทยได้ดุลการค้าจากอินเดีย

4. การแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพยังไม่ปรากฏผลเพิ่มเติมจากที่ทำไว้เดิมเท่าที่ควร เพราะยังมีสินค้าด้อยคุณภาพที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแก้ปัญหานอมินีก็เช่นกัน ที่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก และปัญหานอมืนีนี้น่าจะมีปัญหาการฟอกเงินของทุนเทาของกลุ่มสแกมเมอร์ที่ปะปนเข้ามาเพื่อฟอกเงินด้วย ซึ่งประเทศต่างๆได้ทำการยึดเงินกันเป็นแสนๆล้านบาทแล้ว ทั้ง สหรัฐ อังกฤษ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง แต่ประเทศไทยที่คนเชื่อกันว่าน่าจะมีจำนวนมาก แต่การดำเนินการยังไม่ไปถึงไหน 

ทั้งนี้เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะมีการยุบสภา จึงอยากให้ รมว. พาณิชย์ ได้เร่งดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญนี้ ให้เป็นผลสำเร็จโดยเร็ว ตามความคาดหวังของประชาชน เพื่อสร้างผลงานที่จับต้องได้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะราคาข้าวตกต่ำที่มีปัญหาอย่างมาก และสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาอย่างแสนสาหัสในปัจจุบัน จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้ รมว. พาณิชย์ ในการทำงาน ซึ่งตอนนี้น่าจะทราบแล้วว่างานในกระทรวงพาณิชย์นั้นยากลำบากขนาดไหน ตามที่ตนได้เคยเตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว

TAGS: #ราคาข้าว #พาณิชย์ #พิชัยนริพทะพันธุ์ #FTA #ภาษีสหรัฐ #ภาษีทรัมป์