รัฐ-เอกชนผนึกกำลังตั้งรับมาตรการทางการค้าลุย 3 เรื่องเร่งด่วน

รัฐ-เอกชนผนึกกำลังตั้งรับมาตรการทางการค้าลุย 3 เรื่องเร่งด่วน
‘พาณิชย์’จับมือรัฐ–เอกชน 11 หน่วยงาน เร่งปรับตัวรับมาตรการทางการค้า ประกาศร่วมมือปกป้องสินค้าด้อยคุณภาพ การค้าที่ไม่เป็นธรรม และการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์  รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมหารือระหว่างภาครัฐ–เอกชน เพื่อสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวรองรับมาตรการทางการค้า โดยมีหมุดหมายสำคัญของการสร้าง “พันธมิตรการค้าแห่งชาติ” ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง เสริมแกร่ง สู่ความยั่งยืน : Synergy for Sustainability”  ว่าการประชุมครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ จำนวน 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย

และภาคเอกชนจำนวน 5 หน่วยงาน ได้แก่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เข้าร่วมประชุม รับฟังความคืบหน้า ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

การหารือมุ่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายเพื่อสกัดกั้นสินค้านำเข้าที่ผิดกฎหมาย โครงการเพิ่ม Local Content ไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ (RVC-UP) ตลอดจนแผนทำงานร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายในระบบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

“วันนี้เป็นความตั้งใจในการผลักดันความร่วมมืออย่างจริงจัง เรากำลังเผชิญกับสภาวะการค้าของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เราต้องปรับตัว ต้องเข้มแข็ง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน วันนี้มีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลังโดยกรมศุลกากร สมาคมต่างๆ รวมถึงภาคเอกชนที่ร่วมให้ความเห็นและรับฟังความคืบหน้านโยบาย ถือเป็นการร่วมมือกันจัดการกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่”

 สำหรับปัญหาที่ไทยต้องเร่งจัดการร่วมกันมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.สินค้าราคาถูก ด้อยคุณภาพ และผิดกฎหมาย โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เสี่ยงต่อมาตรฐานและความปลอดภัยของประชาชน 2.การนำเข้าสินค้าที่แข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม  3.การสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) กระทบต่อขีดความสามารถและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย

นางศุภจี กล่าวว่า ได้รับฟังผลความคืบหน้าที่ชัดเจน ทั้งการคัดกรองสินค้านำเข้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพทะลักเข้าประเทศ และการพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อสกัดการสวมสิทธิ พร้อมเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการควบคุมสินค้าในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนได้รับสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย โดยสินค้านำเข้าต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกับผู้ผลิตไทย ซึ่งในรายละเอียดแผนงาน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะรับไปขับเคลื่อนต่อในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 1/2568 ในวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ กระทรวงการคลัง โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นประธาน

ด้านนางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร กล่าวถึงมาตรการควบคุมสินค้าออนไลน์ว่า  กรมศุลกากรได้เชิญตัวแทนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเข้าหารือและขอความร่วมมือให้แจ้งข้อมูลการขายมายังกรมศุลกากรโดยตรง เพื่อป้องกันการหลุดรอดของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมขอให้สินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มผ่านการตรวจสอบอย่างถูกต้อง หากสินค้าใดไม่ผ่านมาตรฐานจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ

 นอกจากนี้กรมศุลกากรกำลังปรับระบบภาษีศุลกากรใหม่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 จะเริ่ม จัดเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าตั้งแต่บาทแรก จากเดิมที่เก็บเฉพาะสินค้ามูลค่าเกิน 1,500 บาท เพื่อปิดช่องว่างสินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศ ทำให้หลังจากนี้สินค้าราคาตั้งแต่ 1 บาทเป็นต้นไป เข้าข่ายต้องชำระภาษีศุลกากรนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งภาษีสรรพสามิต

 ด้านนายธ นากร  เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ได้ฟังวิธีคิดและการทำงานของกระทรวงพาณิชย์แล้วมีความมั่นใจ เห็นว่าความเห็นของเอกชนได้รับการตอบรับอย่างจริงจัง ทีมงานรู้ปัญหาและการเคลื่อนไหวของเอกชนดี ถือเป็นมิติใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ สินค้าอีคอมเมิร์ซที่เข้าประเทศต้องผ่านมาตรฐานต่างๆ ของไทย เช่น มอก. อย. พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันควบคุมเพื่อปกป้องผู้ประกอบการไทย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการประกาศจุดยืนร่วมกันสร้างระบบการค้าไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการยกระดับความรู้แก่ผู้ประกอบการ อำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับปรุงมาตรฐานเพื่อลดอุปสรรคไม่จำเป็น

ขณะที่เอกชนจะร่วมพัฒนาคุณภาพสินค้า เทคโนโลยีการผลิต และเพิ่มการใช้วัตถุดิบไทย (Local Content) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของประเทศในห่วงโซ่อุปทานโลก

TAGS: #มาตรการทางการค้า #สินค้าด้อยคุณภาพ #สวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า